ความคลุมเคลือของงานพัฒนาซอฟต์แวร์

ทุกวันนี้ในแวดวงคนไอทีใคร ๆ ก็ค่อนข้างจะรู้กันครับว่า งานทางด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ของแต่ล่ะองค์กรนั้น ใช้คนกันได้มั่วเหลือเกินเลยจริง ๆ ไม่ว่าจะให้เขียนโปรแกรม, ให้ติดตั้งคอมพิวเตอร์, เดินสายแลน, ตั้งเซอร์เวอร์ หรือไม่ก็ให้ออกรายงานประจำวันซ้ำ ๆ ซาก ๆ หรือบางครั้งก็ต้องมาคอยรับโทรศัพท์จากผู้ใช้ระบบ แล้วก็ต้องมารองรับความต้องการใหม่ ๆ ของผู้ใช้อีก

เชื่อว่าคนที่ทำงานพัฒนาซอฟต์แวร์น่าจะเคยมีชะตากรรมกันแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น ทีนี้เมื่อหลายวันก่อนมีดอกเตอร์ท่านนึงมาพูดเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ผมฟัง แถมมีการวาดภาพมาให้ดูเพื่ออธิบายความเข้าใจด้วย ผมก็เลยแฮ่บมาซะเลย

ลำดับงาน

จากภาพจะเห็นว่างานของนักพัฒนาซอฟต์แวร์จะไม่คลุมเคลือเลย เพราะงานดังกล่าวจะอยู่ในแถบสีเขียวเท่านั้น ส่วนแถบสีเหลืองเป็นของเจ้าหน้าที่ในงานอื่น ๆ ไม่เกี่ยวกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ซักกะติ๊ดเดียว

แต่ผมก็รู้อ่ะ ว่าบางครั้ง บางองค์กรก็แกล้งไม่เข้าใจ แล้วก็ใช้นักพัฒนาซอฟต์แวร์มั่วไปหมดเล้ยยยยย พับผ่าสิ ยังไงถ้าใครรู้ว่าตัวเองเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แล้วทำงานนอกกรอบสีเขียวแล้วล่ะก็ ก็ช่วย ๆ เตือนคนที่สั่งงานให้ทำความเข้าใจกับบทบาทของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ก็จะดีไม่น้อยเลยครับ

[tags]นักพัฒนาซอฟต์แวร์, คนไอที, ไอที, งานพัฒนาซอฟต์แวร์[/tags]

Related Posts

7 thoughts on “ความคลุมเคลือของงานพัฒนาซอฟต์แวร์

  1. จริงอย่างพี่ไท้ว่าล่ะครับ ว่างานจริงๆๆของDeveloperคิดแต่ด้านLogicอย่างดี
    ไม่ต้องไปยุ่งกันคนและHardwareมากเท่าไหร่ แต่จากประสบการฝึกงานแล้ว
    เค้าให้ทำอะไรก็ต้องทำหมดล่ะครับ คงเลือกไม่ได้นัก

  2. จริงอย่างที่พี่ไท้ว่าเช่นกันครับ แต่ก็น๊ะ บางครั้งเขาจ้างเรามาก็คงเอาจนคุ้มหละครับ ปฏิเสธก็คงทำให้มีปัญหาต่อการทำงานอีกแหละครับ เฮ้อ…เป็นอะไรที่ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่เลย แต่ก็ดีน๊ะถ้าเราเป็นนายคนอื่นเราจะได้ศึกษาเอาไว้และแยกแยะให้เหมาะสม

  3. ตอนผมเป็นเด็กฝึกงาน วิศวกรประจำบริษัท (ซึ่งทั้งบริษัทมีวิศวกรหนึ่งคน เนื่องจากเป็นบริษัทเล็ก ๆ) เคยให้โปรแกรมเมอร์ที่พึ่งเข้ามาใหม่ วัดสัญญาณในแผงวงจร เขาก็วัดไม่ค่อยเป็น เพราะเป็นโปรแกรมเมอร์นี่น่า ไม่ใช่วิศกรไฟฟ้า ผมก็เลยเข้าไปช่วย

    ด้วยอะไรก็ไม่ทราบ เขาก็บอกครับว่า เขาทำได้ ผมเลยถอยห่างออกมา ปรากฏว่าห้านาทีต่อมา ควันขึ้นเลยครับ พังทั้งวงจรทั้งตัววัด พี่แกหน้าซีดเลย ดีครับที่วิศวกรไม่เอาเรื่องอะไร

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าใช้คนมั่วครับ + ไม่รู้ก็ควรถาม

  4. เพราะอย่างนี้ พอเรียนจบปุ๊บผมไปเป็น salesman ปั๊บเลย –”
    ปล. ฝาก blog น้องใหม่อีก blog นะครับ poorblogger.com อิอิ ขอบคุณครับ

  5. ??????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? memtest ???????????????????????????????????????????? :’-(

    ???????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ???????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ????????? ????????? 🙂

    ???????????????????????????????????? ?????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ????????????????????????????????????????????????????????????????? ???????????????????????????

    ?????????????????????????????? poorblogger.com ?????????????????????????? BigNose ?????????????????????????????????????????????????????????????????????????????

  6. ก้ากๆๆๆๆๆ ฮาจริง ๆ ถ้าเป็นงั้นหมดผมว่าไม่ต้องหางานแล้วครับ เพราะไม่มีงานให้ทำแล้ว มีแต่คนแย่งกันทำหมด (เจ้าของกิจการทั้งนั้น…เหอๆๆๆ) ปวดหัวแน่งานนี้ฮะๆๆๆๆ การใช้คนไม่ถูกกาละเทศะนี่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะบางครั้งความเสียหายมากกว่า ความสำเร็จหนะ ผมเลยเลือกที่จะเป็นผู้กำหนดเองดีกว่าง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ผิดเองถูกเอง แก้ไขเอง รวยเอง (อือ..อันนี้แหละที่ทำให้สู้ต่อ)

  7. ถูกต้องเลยค่ะ ตอนนี้กำลังมีซะตากรรมแบบนี้เลย ก็ทนทำได้นะค่ะ แต่บ้างทีมันรู้สึกว่าเสียเวลาในการหาความรู้ หาประสบการณ์ ในด้านพัฒนาโปรแกรม ไม่รู้มาผิดทางหรือเปล่า เพราะทำงานอยู่บริษัท ที่ธุรกิจหลัก ไม่ใช่ทางด้าน เขียนโปรแกรม อย่างงี้เลือกทำบริษัท software house จะดีกว่าไหมค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *