เรามาทำความเข้าใจกับคำ ๆ นี้ก่อนดีกว่านะ ว่ามันหมายถึงอะไร?

วิทยานิพนธ์ หมายถึง เรื่องที่เขียนเรียบเรียงขึ้นจากผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า, วิจัย หรือสำรวจ อันเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ผู้ศึกษาต้องทำเพื่อสิทธิในการรับปริญญาตามที่สถาบันได้กำหนดไว้ นักศึกษาหลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต และนักศึกษาหลักสูตรปริญญาดุษฎีบัณฑิตต้องทำวิทยานิพนธ์

เดี๋ยวนี้เห็นมีแปลก ๆ คือไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์ก็สามารถจบได้ เพียงแค่ลงหน่วยกิตโครงการพิเศษก็พอ อือม พวกเขาคงไม่รู้กระมัง ว่าวิทยานิพนธ์นั่นแหล่ะ คือเครื่องชี้วัดว่าพวกเขาได้อะไรจากการที่ลงเรียนไปบ้าง!!!

จุดที่ผมสนใจก็คือ มหาบัณฑิตส่วนใหญ่ทำวิทยานิพนธ์เพื่อให้ตัวเองจบการศึกษา แต่น้อยคนนักที่จะเอาวิทยานิพนธ์ที่ตนเองทำ ไปประยุกต์สานต่อเพื่อทำให้กลายเป็นธุรกิจขึ้นมา ซึ่งมันสวนทางกับมหาบัณฑิตในสหรัฐอเมริกามาก พวกเขาเหล่านั้นสร้างธุรกิจขึ้นมาได้ โดยต่อยอดจากนวัตกรรมที่ตนเองคิดค้นในสมัยเรียนทั้งนั้น

นายทุนเมืองไทยเองก็ไม่ค่อยจะสนใจงานวิจัยเหล่านี้มากนัก เพราะก็คงรู้สึกว่ามันยังใช้จริงไม่ได้ หรือไม่ก็อาจจะเห็นว่ามันพื้น ๆ เกินไป ไม่รู้จะเอาไปประยุกต์กับธุรกิจยังไงดี

มันจะดีมั้ยน้อ ถ้าจะมีระบบซอฟต์แวร์ที่ทำตัวเป็นนายหน้า ทำหน้าที่ชักพาให้นายทุนผู้มีเงินถุงเงินถังมากมาย มาพบกับมหาบัณฑิตซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยวิชาความรู้และทักษะในหัวข้อที่ตนเองชำนาญ?

ธุรกิจแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน!!!

[tags]วิทยานิพนธ์, สมมติฐาน, คอมพิวเตอร์, ซอฟต์แวร์, SaaS, Software as a Service[/tags]

Related Posts

8 thoughts on “วิทยานิพนธ์

  1. ผมเห็นด้วยกับพี่ไท้ครับว่าสำหรับนักศึกษาระดับมหาบัณฑิตขึ้นไปควรทำวิทยานิพนธ์เป็นอย่างยิ่ง
    เพราะวิทยานิพนธ์คือการประมวลผลความรู้ทั้งหมดที่ได้เรียนมา ออกมาเป็นผลสำเร็จทางการศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของทฤษฤี,ซอฟต์แวร์,SaaS
    มันสามารถเป็นใบประกาศที่บอกได้ค่อนข้างชัดเจนว่าคุณเข้าใจและมีความสามารถในด้านไหนอย่างแท้จริง

    อยากให้บ้านเรามีบริษัทเงินทุนให้โอกาสสำหรับDeveloperเดินเข้าไปขายความคิด
    เหมือนกับที่ซิลิกอนวัลเล่ย์(ขอแค่มีเจ้า2เจ้าก็ยังดี) เพราะแนวทางเช่นนี้Googleได้สามารถพิสูตรให้เห็นถึงความสำเร็จแล้ว

  2. คิดว่าบางสาขาหรือบางหลักสูตรไม่จำเป็นต้องทำวิทยานิพนธ์ครับ อังกฤษและอเมริกา หลายสาขาวิชาก็ไม่ต้องทำ

    อย่างนักธุรกิจที่มาเรียนเพิ่มเติม ทำงานอยู่ทุกวันก็เหมือนกับทำวิทยานิพนธ์อยู่แล้ว ดังนั้นแค่ทำรายงานก็เพียงพอแล้วครับ

    เดี๋ยวนี้เมืองไทยเริ่มตื่นตัวกับการเรียนแบบ taught course มากขึ้น
    คือทำวิทยานิพนธ์แบบที่เรียกว่า การศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง เป็นแผนสอง
    เรียนในชั้นมากขึ้นแต่ทำวิจัยน้อยลงซึ่งเหมาะกับผู้ที่ทำงานในสาขาอยู่แล้ว
    และต้องการความรู้เพิ่มเติมครับ เรียกว่าเป็นการส่งเสริมคนในสาขาให้มีวุฒิสูงขึ้นและ
    รู้ลึกขึ้น

  3. ผมเองก็อยากเหมือนกันครับคุณ memtest 😛 แต่นายทุนส่วนใหญ่เขาไม่ชอบลงทุนกับเทคโนโลยีหรอก เพราะมันกินทุน ต้องลงไปเรื่อย ๆ แล้วก็ไม่รู้จะได้ทุนคืนเมื่อไหร่

    ครับพี่แปง ผมเห็นเหมือนกันครับว่าเดี๋ยวนี้หลายมหาวิทยาลัยเริ่มมีหลักสูตรสองแบบ คือ แบบให้ทำวิทยานิพนธ์ กับแบบให้ทำโครงการพิเศษ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่าทำวิทยานิพนธ์นี่มันก็โหดดีเหมือนกันเน้อะ 😛 เห็นที่ไม่จบกันก็เพราะวิทยานิพนธ์นี่แหล่ะ

  4. อีกไม่นานคงได้ทำบ้าง ว่าเเต่ผมอยากถามหน่อยครับ ถามอีกเเล้ว – –
    ถามว่าจะเรียนต่อสาขาอะไรดีครับ เห่อๆๆ ปัจจุบันเรียนวิทย์คอม ปี4นะครับ
    พอดีไม่ใช่ว่าไม่หาข้อมูลนะครับ เเต่หาไปหามาตัวเลือกชักจะเยอะขึ้น สับสน
    เเต่ตัวเลือกที่สนใจอยู่ก็คงเป็น วิศวะซอฟเเวร์ – – ต่อตัวนี้จะดีไหมน้า
    หรือต่อ วิทย์คอมต่อ (ไม่ดีมั่ง เท่าที่ฟังจากพี่ที่ทำงานเค้าไม่ได้เรียนต่างจากที่เราเรียน ปตรีเท่าไรเลย ที่ต่างคงเป็นวิทยานิพนธ์)
    หรือต่อ บริหาร เรียนคอมต่อบริหารโท จบไปหาเงินจากคอมดีมากเลย บางคนเป็น CEO โหเท่สุดๆ เเต่ไม่ชอบบัญชีอะหุหุ เง้อ T T
    หรือทำงานต่อดี – -”
    หรือสายอื่นๆๆดี
    ชอบเขียนโปรเเกรม

  5. คนที่จบปริญญาตรีแล้วส่วนใหญ่ ล้วนเลือกที่จะทำงานต่อครับคุณ bin เพื่อสะสมทุนและประสบการณ์ จากนั้นก็แล้วแต่คนแล้วล่ะครับ ว่าจะทิ้งช่วงนานแค่ไหน ถึงจะเรียนต่อปริญญาโท

  6. ผมก็ทำเช่นเดียวกับที่พี่ไท้พูดครับ คือเลือกที่จะทำงานก่อนซักระยะนึง
    เหตุผลที่ทำมั้ยผมเลือกอย่างนั้นเพราะว่าจะได้ตอบคำถามตัวเองอีกทีนึงว่าเราอยากเรียนในสาขานั้นจริงรึเปล่า
    ช่วงเวลาที่เราได้สัมผัสงานจริงๆนั้นจะทำให้เราเห็นภาพมุมมองที่กว้างขึ้น
    และจะทำให้เราเริ่มรู้แล้วว่าความรู้ด้านที่ไหนที่เรายังขาดอยู่ คุณจะได้เข้าใจตัวคุณเองมากขึ้น

  7. ขอบคุณสำหรับบทุกคำตอบนะครับ
    พอดีช่วงฝึกงานผมเจอที่ฝึกงานโหดไปหน่อยเลยเเหย่งๆไปหน่อย
    ประมาณว่าทำเเปดโมงเลิกห้าทุ่ม เเถมบางวันเช้า ทำจันถึงเสาร์
    ไม่มีโอที เงินเดือนได้มากพอตัวเลยสำหรับฝึกงาน 17+
    ทำให้รู้เลยว่า 24/7 นี้เป็นยังไง
    สกิวขึ้นดีจริงๆๆทำงาน เเต่เวลาทั้งหมดก็หายไปกับงานเช่นกัน
    ผมว่าผมยังทำงานไม่คุ้มค่าจ้างเลย 555 T T รู้สึกเงินมันกดดันเรา
    เเต่ผมก็ทำได้เยอะพอสมควรนะกับ2เดือนครึ่ง ไม่ต่ำกว่า 3 โปรเจค(ใหญ่)
    งานย่อยอีก5-6ชิ้น เเต่โดนวิจารณ์พอสมควร เค้าว่าผมน่าจะทำได้มากกว่านี้
    จากที่ลองงานมาครึ่งดือน เเต่ก็จริงคับผมยังไม่ได้ใส่เต็มก็อก เลยบอกว่า
    เหมือนยังทำไม่คุ้มกับที่เค้าให้ เเต่ในใจลดเงินเถอะคร๊าบบ T T
    ตอนทำไม่เคยบ่น เเต่พอออกมาเรียนต่อปี4บ่นเลย เห่อๆๆ
    (ตูทำไปได้ไงง่า – -“)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *