Fundamentals of speech recognitionผมเคยเกริ่น ๆ เอาไว้ในบล็อกนี้เมื่อหลายเดือนก่อนครับ ว่าผมจบมาโดยการทำปริญญานิพนธ์เรื่อง speech recognition มาวันนี้ผมก็เลยจะเอาหนังสือที่ครั้งกระโน้นผมเคยใช้มันเป็นคัมภีร์ ตะลุยผ่าหกด่าน ประหารหกนายทัพ วิ่งเข้าสู่เส้นชัยของความสำเร็จ มาอวดให้ดูหน่อย

สมัยผมอ่ะนะ (สิบกว่าปีก่อน) การจะซื้อ Text Book ที่เราต้องการซักเล่มนึงจากต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องยากโคตร ๆ เลยล่ะ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ง่ายบรมเลย แค่ค้นจาก amazon หรือไม่ก็จาก eBay แล้วก็จ่ายด้วย paypal แล้วให้ paypal มาตัดบัตรเครดิตอีกทีนึง แล้วก็รอ ร๊อ รอ อีกไม่ถึงอาทิตย์ หนังสือมันก็หล่นปุ๊มาที่บ้านให้ยลโฉมได้แล้ว ง๊ายง่ายยยยยยย

หนังสือเล่มนี้มีวิธีการซื้อที่ไม่เหมือนสมัยนี้หรอกครับท่าน วิธีการซื้อก็แสนจะยุ่งยาก เพราะถึงแม้ตอนนั้นเว๊ปไซต์ต่าง ๆ จะเริ่มรับบัตรเครดิตแล้ว แต่นักศึกษาอย่างผมไม่มีบัตรเครดิตครับ แถมสมัยนั้นไม่มีใครไว้ใจ e-commerce กันเลย กลัวโดนโกง แล้วจะซื้อได้ไง?

ตอนแรกนะ ผมต้องร่างจดหมายครับ ไม่ผิดหรอกจดหมายที่เป็นกระดาษนั่นแหล่ะ แล้วก็พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ ตอนนั้นจำได้ว่าใช้ Microsoft Word 1.0 พิมพ์ขึ้นมา พิมพ์เป็นแบบ Full Block ด้วย (ตอนนั้น Word 1.0 ไม่มี Wizard ครับ คนจะพิมพ์จดหมายแบบ Full Block ได้ ต้องเรียนมาเลย ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ที่กดอย่างเดียวก็ได้ผลลัพท์แล้ว)

ในเนื้อความของจดหมายก็ร่ายเลยในย่อหน้าแรก ว่าไปรู้จักหนังสือกับบริษัทได้ไง อย่างนั้นอย่างนี้ พอมาย่อหน้าสองก็บอกว่าจะสั่งซื้อสินค้าอ่ะนะ แล้วย่อหน้าสามก็ค่อยบอกว่าจะซื้อสินค้าตัวไหน ผมงี้ต้องไปจดเลข serial no ของหนังสือมาเลยนะ พร้อมราคาด้วย ก็เขียนมันไว้ในย่อหน้าสามนั่นแหล่ะ

ย่อหน้าสุดท้ายก็บอกเค้าว่าได้แนบเอาเงินมาด้วยแล้ว และก็หวังว่าจะได้รับหนังสือในเร็ววัน

ทีนี้เรื่องเงิน ทำไงดีวะเนี่ย ตอนนั้นผมก็คิดงั้นนะ แล้วก็ไปรู้มาว่าเราสามารถส่งเป็น draft ธนาคารได้ ก็ต้องเอาเงินบาทไทย ไปแลกเป็น draft ธนาคารมา ผมเลือกไปแลกที่ธนาคารกรุงเทพด้วย เพราะเห็นเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด น่าจะขึ้นเงินที่ต่างประเทศได้

ในที่สุดก็ได้จดหมายซะที ในซองก็บรรจุจดหมายที่ผมร่างขึ้นมาเพื่อสั่งซื้อหนังสือ แล้วก็มี draft ธนาคารอยู่ข้างในด้วย เสร็จสรรพก็ไปไปรษณีย์ ลงทะเบียนจดหมายส่งไป ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จากนั้นก็มานั่งภาวนาเพื่อให้ของส่งมาในเร็ววัน เพราะหนังสือเล่มนี้ผมสั่งซื้อด้วยราคาสูงถึง 3,600 บาท กลัวโดนโกงโคตร ๆ เลย

หลาย ๆ อาทิตย์ต่อมาก็มีจดหมายส่งมา เป็นจดหมายกระดาษครับในนั้นมีจดหมายหนึ่งฉบับ พร้อมทั้ง draft ธนาคารของผมเหน็บมาด้วย ใจความจดหมายบอกว่า บริษัทเขามีสาขาอยู่ที่สิงค์โปร ขอให้ผมไปสั่งซื้อที่สิงค์โปรแทน

เวร!!!!! ผมต้องเริ่มใหม่หมดเลย ร่างจดหมายใหม่ แลก draft ธนาคารใหม่ ส่งใหม่ ทุกอย่างใหม่หมดเลย คือไม่ได้อยากได้ประสบการณ์อะไรซ้ำซากหรอกครับ แต่ก็ต้องทำอ่ะ เพราะดันเสนอหัวข้อปริญญานิพนธ์ไปแล้วด้วย อันนี้เรียกว่าความซวยไม่เคยปราณีใคร

สุดท้ายผมก็ได้หนังสือเล่มนี้มาจนได้ ตอนที่ได้มาตื่นเต้นมาก แต่ที่ตกใจและสยองยิ่งกว่าก็คือ ปกหลังของหนังสือบอกว่า มันเป็นหนังสือของ “วิศวกรรมไฟฟ้า” และยิ่งเปิดข้างในยิ่งตกใจขึ้นไปอีก เพราะมันละเลงไปด้วยสมการททางคณิตศาสตร์ที่ตั้งแต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มา ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน

ผมก็เลยต้องรับกรรมซ้ำสอง นั่งอ่านมันทุกวี่ทุกวัน จนเข้าใจมันในระดับหนึ่ง ถึงได้ทำปริญญานิพนธ์จบมาได้เนี่ยแหล่ะ

ป.ล. ผมเห็นหนังสือเล่มนี้ขายแถวมาบุญครองเมื่อไม่นานมานี้ ราคาเล่มล่ะ 500 บาท ผ่านมาแค่สิบปี ทำไมราคามันตกได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย T-T

[tags]หนังสือเก่า,fundamentals of speech recognition,ปริญญานิพนธ์[/tags]

Related Posts

9 thoughts on “Fundamentals of speech recognition

  1. โอ้วว จะบอกว่ามีความพยายามในการสั่งซื้อหนังสือมากๆ ครับ

    ว่าแต่.. สิบปีนี่.. มันนานเหมือนกันนะ อิอิ

  2. พูดถึงเรื่องปริญญานิพนธ ก็ทำให้นึกถึงการศึกษาของตัวเอง
    ตอนนี้อยู่ปี 4 ครับกำลังจะจบแล้ว วางแผนว่าอยากจะเรียนต่อด้านพัฒนาซอฟแวร์(ใจอยากเรียนต่อการพัฒนาซอฟแวร์อย่างเดียว)
    ไม่ทราบว่าในเมืองไทยที่ไหนดีครับ ที่ผมดูไว้ก็น่าจะเป็นบางมด ไม่SE ก็ IT
    ของบางมดเค้าเรียน เสาร์อาทิตย์ หรือ ตอนค่ำ เลยคิดว่า
    น่าจะเหมาะ เพราะช่วงที่ว่างอาจจะหางานมาทำไปด้วย มาขอคำแนะนำหน่อยครับ

  3. ผมไม่รู้ว่าจะเลือกเรียนอะไรดี และเรียนที่ไหนดี
    บางทีผมอาจจะไปเรียนที่อินเดีย(บังกลอ)พี่ำำไท้คิดว่าดีไหม
    หรือเรียนไทยดี ครับ (หมายถึงเรียนด้านซอฟแวร์หนะครับ)
    หรือว่าจะต่อที่อเมริกาเลย สะดวกดี (แต่ไม่รู้ว่าจะต่อได้ไหม)

    ไม่เห็นพี่ไท้ใน บล็อกผมตั้งนาน ผมไม่ได้ปิดบล็อกนะครับ
    ปิดแต่เว็บไซท์(คือผมแยกบล็อกออกจากเนื่อหาเว็บ) อยากให้มีคนไปอ่านครับ ขอบคุณครับ

  4. อ่านเรื่องนี้ของพี่ไท้ แล้วรู้สึกว่าผมโชคดีมากกกกครับ อาจารย์แกเอาหนังสือให้ถึงที่เลย แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่แน่ว่าจะส่งทันกำหนดหรือเปล่า กรรม……

  5. โอ้โหสุดยอดจริง ๆ ครับ พี่ไท้ เนี่ยะความพยายามสุดยอด สมแล้วที่ได้รับความสำเร็จในสิ่งที่ทำ ผมว่าไม่ใช่เรื่อง ๆ ง่าย ๆ เลยกับการพยายามที่จะได้สิ่งใดมาในเมื่อครั้งอดีต (ที่อาจขมขื่น เกี่ยวกันเป่าเนี่ยะ) ผมเองเคยสั่งซื้อหนังสือจากต่างประเทศเช่นกันแต่เป็นการสั่งซื้อผ่าน Amazon หนะครับเมื่อประมาณ 8-9 ปีมาแล้วเหมือนกัน ตอนนั้นต้องอาศัยรุ่นพี่ที่เขามีบัตรเครดิตซื้อให้ แบบกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะเราไม่แน่ใจว่าจะได้หรือเปล่า สุดท้ายก็ได้สมใจจริง ๆ ปัจจุบันผมยังเก็บไว้เป็นอย่างดีเลยครับ ไม่เคยเปิดอ่านสักครั้งตั้งกะเรียนจบ 🙂

  6. สิบปีจาก นารีเป็นอื่นครับคุณ iPAtS อ้าว ๆ จะเกี่ยวกันมั้ยเนี่ย?

    ใช่ ๆ คุณ Arthuran ชีวิตเดี๋ยวนี้ทำให้เรารู้สึกว่าโลกมันหดเหลือเล็กกระจิ๊ดริดเท่านั้นเอง

    หมายถึงปริญญาโทเหรอครับคุณ memtest ผมว่าที่ไหนก็ดีทั้งนั้นแหล่ะ แต่เห็นส่วนใหญ่ใคร ๆ ก็เรียนตอนค่ำ หรือเสาร์อาทิตย์ทั้งนั้นแหล่ะครับ เพราะต้องทำงานหาเงินกัน ผมเองก็เคยสอบโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งเปิดการเรียนการสอนโดยภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน เป็นโครงการเรียนภาคปรกติเหมือนปริญญาตรีทั่วไป โชคดีที่ผมสอบไม่ติด ไม่งั้นผมคงเสียเวลาปั๊มเงินไปตั้งสองปีแน่ะ เพราะเรียนกลางวัน มันหาตังค์ไม่ได้หรอก เวลาผ่านไปแค่สองปี ถ้าคนรุ่นเดียวกันกับเรา ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย นอกจากพวกเค้าจะได้ตังค์สะสมมากกว่าเราแล้ว ยังได้ประสบการณ์มากกว่าเราอีก แถมได้วุฒิอีก ส่วนเรา ถ้าเรียนภาคปรกติ นอกจากจะเสียตังค์แล้ว ยังหาตังค์ยากด้วย แถมไม่ได้ประสบการณ์จากการทำงานอีก ไม่คุ้มอ่ะ ทำอะไรต้องดีดลูกคิดหลายต่อ

    ผมไม่รู้ฐานะทางการเงินของคุณหมีอ่ะครับ จึงไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่เรียนเมืองไทยก็ดีนี่นา เพราะหลักสูตรของไทยก็โอเคนะ หรือจะไปออสเตรเลียก็ได้ ที่นั่นเก่ง e-commerce ส่วนเรื่องที่ผมไม่ได้แวะไปบล็อกของคุณหมี ก็เป็นความจริงดังนั้นแล เพราะผมคิดว่าคุณหมีปิดบล็อกไปแล้วนั่นเอง แต่ผมแวะกลับไปดูแล้วนะ ฮัดโช่ โอเค

    โห อาจารย์ของคุณโบว์ใจดีจัง T-T อาจารย์ของผมไม่เคยจะเหลียวแลผมเล้ย กรรม เหมือนกัน

    เห็นม้าคุณสิทธิศักดิ์ รุ่นของพวกเราอ่ะนะ จะซื้อของผ่านระบบ e-commerce กันแต่ล่ะที กล้า ๆ กลัว ๆ กันทั้งนั้นแหล่ะ เพราะพวกเราเป็นยุคบุกเบิก ว่าแต่ซื้อหนังสือมาไม่เปิดอ่าน แล้วจะซื้อมาไมเนี่ย งงไปเลย

  7. ขอบคุณพี่ไท้สำหรับคำแนะนำ ตอนนี้คิดแล้วล่ะครับ
    ว่าจะวางแผนยังไงต่อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *