ถ้าเราผลิตซอฟต์แวร์ขาย เราก็คงจะต้องสนใจ “ต้นทุน” และ “ราคาขาย” ของตัวซอฟต์แวร์เป็นสำคัญ ในขณะที่ลูกค้าเองก็มีธรรมชาติที่จะต้องสนใจใน “ราคาขาย” และ “คุณค่า” ของซอฟต์แวร์เป็นหลักเช่นเดียวกัน

ถือว่าทั้งสองฝ่ายมีจุดร่วมกันอยู่ตรง “ราคาขาย”!!!

มูลค่าแบบพื้นฐาน

ในฐานะของผู้ผลิตก็ย่อมกระหายใคร่จะได้ “กำไร” มาก ๆ จากการขายซอฟต์แวร์ ส่วนลูกค้าเองก็พึงปราถนาที่จะได้รับความ “คุ้มค่า” ของซอฟต์แวร์ที่ตนเองจ่ายเงินซื้อมา ฉันใด ฉันนั้น!!

จากภาพข้างบนจะเห็นว่า จริง ๆ แล้ว “คุณค่า” ของซอฟต์แวร์นั้นสูงมาก ในขณะเดียวกัน “ราคาขาย” ของมันก็สูงทัดเทียมไม่แพ้กัน ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะกำหนด “ราคาขาย” ด้วยตนเอง (ใช้ของเถื่อนนั่นแหล่ะ)

นับตั้งแต่มีอินเทอร์เน็ตเป็นต้นมา รูปแบบของการให้บริการซอฟต์แวร์ก็เปลี่ยนไป เป็นการเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ อันเนื่องมาจากการเปิดบริการซอฟต์แวร์ให้ใช้ฟรี ๆ (โดยบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ) ผ่านทางโมเดล SaaS ซึ่งซอฟต์แวร์ถูกติดตั้งอยู่บน Server Farm รอให้ผู้บริโภคเป็นล้าน ๆ คนเข้ามาใช้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และ … ฟรี!!!

มูลค่าที่ไม่พื้นฐาน

จำได้ว่าถ้าเป็นธุรกิจในโมเดลปรกติ สิ่งที่ชี้เป็นชี้ตายธุรกิจจะอยู่ที่ “ต้นทุน” และ “คุณค่า” ของสินค้าและบริการ ยิ่งผู้ผลิตสามารถกด “ต้นทุน” ให้ต่ำและดันให้ “คุณค่า” ของสินค้าสูงได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้เปรียบในการกำหนด “ราคาขาย” และการสะสม “กำไร” เมื่อต้องต่อสู้กับคู่แข่งได้มากเท่านั้น!

จากภาพข้างบนจะเห็นว่า ทุกวันนี้ SaaS ส่วนใหญ่ไม่มี “ราคาขาย” เพราะถ้ากำหนด “ราคาขาย” ผู้บริโภคก็จะหันไปใช้บริการของเจ้าอื่นที่ฟรีทันที เป็นการแข่งขันที่ค่อนข้างลำบากมาก เพราะ “ราคาขาย” ซึ่งเป็นจุดโมเมนตัมในการดำเนินกลยุทธได้หายไป!!!

ผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการ SaaS ต้องเปลี่ยนจากการมองไปที่ “กำไร” เป็นการมองไปที่ “มูลค่า” … ในขณะที่ผู้บริโภคยังคงมองไปที่ความ “คุ้มค่า” อยู่เช่นเดิม

เมื่อเป็นเช่นนี้ จุดชี้เป็นชี้ตายของ SaaS ที่ผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการ SaaS ต้องใส่ใจที่สุด จึงอยู่ที่ “คุณค่า” ของตัว SaaS นั่นเอง!!!

การจับเสือมือเปล่า โดยการทำให้ “ต้นทุน” หายไป และทำให้ “คุณค่า” สูงเด่นเหนือใคร ๆ นั้น … มัน … ไม่มี … อยู่จริง

[tags]ต้นทุน, มูลค่า, กำไร, ราคาขาย, คุ้มค่า, คุณค่า, SaaS, ธุรกิจ, โมเดล[/tags]

Related Posts

5 thoughts on “เนยแข็งที่หายไป

  1. ถ้าเป็นแบบนี้ผลประโยชน์ตกลงสู่ผู้ใช้มากขึ้น แต่ผู้ผลิตก็ลำบากมากขึ้นเลยนะครับ
    น่าเห็นใจผู้ผลิตเหมือนกัน

  2. ประเด็นคือ รายได้ของผู้ผลิตไม่ใช่แค่กำไร ยังมีอย่างอื่นเช่น ขายโฆษณา ขาย support และอื่นๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *