สองวันนี้ผมต้องไปเรียนเกี่ยวกับ SAP โมดูล CO ซึ่งก็คือโมดูล Controlling ที่ปูนใหญ่ครับ เมื่อพักกินอาหารว่างเลยได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ที่สอน SAP-CO เท่าที่ดูเหมือนอาจารย์จะแก่กว่าผมซักสองปีเห็นจะได้ เนื้อหาที่คุยก็เป็นเรื่องของ Freelance ครับ อาจารย์เล่าว่าตนเองนั้นเป็น Freelance คอยวิ่งเต้นหางานสร้างซอฟต์แวร์ แล้วก็ไม่ใช่ซอฟต์แวร์ระดับเล็ก ๆ ด้วยนะ เป็นระดับใหญ่เลยล่ะ จากนั้นก็ระดมคนเก่ง ๆ มาทำงานด้วยกัน ระยะเวลาโครงการก็อาจจะปีหรือสองปีก็ว่ากันไป เซ็นสัญญาทำงานร่วมกัน
Category: Management
การจัดการองค์กร IT
สมัยก่อนนู้นเวลาผู้บังคับบัญชาใช้ผม เขามักจะเอื้อนเอ่ยประโยคที่ผมฟังแล้วขัดหูเหลือเกิน คุณไท้ผมมีงานชิ้นนึงจะให้คุณทำ เป็นการสร้างซอฟต์แวร์เพื่อบรา บรา บรา … ผมว่ามันไม่ยากหรอก แป๊ปเดียวก็เสร็จ มีอะไรให้ช่วยก็บอก ผมฟังแล้วหัวเราะหึ ๆ ในใจ ที่ว่ามันไม่ยาก รู้หรือเปล่าว่ามันต้องทำยังไง ไม่รู้อ่ะดิ (แต่ผมก็ทำนะ) เดี๋ยวนี้ผมต้องเอื้อนเอ่ยประโยคเพื่อขอให้ผู้ร่วมงานทำงานให้ ผมจึงยังจำได้ว่าประโยคแบบไหนที่ผมฟังแล้วไม่ลื่นหู ดังนั้นผู้ร่วมงานผมฟังแล้วก็คงไม่ลื่นหูเหมือนกัน ผมจึงเปลี่ยนคำพูดเป็น คุณกอผมมีงานชิ้นนึงจะให้คุณทำ เป็นการสร้างซอฟต์แวร์เพื่อบรา บรา บรา
กติการะบบทุนนิยมนั้นเข้าใจได้โดยง่ายครับ ไม่ว่าจะเป็นทุนอุตสาหกรรมหรือทุนเก็งกำไร นั่นก็คือ ที่ใดที่ให้ผลตอบแทนสูง ต้นทุนต่ำ ทุนก็จะไหลไปที่นั่น ผมกำลังจะเล่าถึงฐานการบริการ SaaS นะ แต่ต้องท้าวความพอหอมปากหอมคอ คงไม่ว่ากัน มันมีอยู่ช่วงนึงในประวัติศาสตร์ครับ น่าสนใจศึกษา ตอนนั้นเป็นช่วงจักรวรรดิ์นิยมเบ่งบาน พวกฝรั่งก็ออกล่าเมืองขึ้น ญี่ปุ่นเองก็ล่าเมืองขึ้นเหมือนกัน ฝรั่งกับญี่ปุ่นมีรูปแบบในการสะสมทุนที่สวนทางกันเลย เพราะฝรั่งจะนับตนเองเป็นศูนย์กลาง นับอาณานิคมเป็นชายขอบ บทบาทของศูนย์กลางคือเป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ส่วนบทบาทของชายขอบมีหน้าที่เป็นแหล่งวัตถุดิบราคาถูก และเป็นตลาดรับซื้อสินค้าไปบริโภค ฝรั่งไม่สนใจสินค้าที่ตนเองผลิต แต่สนใจการสะสมทุนมากกว่า!!! ส่วนญี่ปุ่นนี่คนล่ะเรื่องเลย
ตลอดสิบปีมานี้ผมได้มีโอกาสร่วมงานกับทีมงานของบริษัทที่ปรึกษาทางคอมพิวเตอร์บ่อยครั้งมากครับ และก็ค้นพบอย่างนึงว่าบริษัทที่ปรึกษาเหล่านี้มีลักษณะร่วมที่เหมือนกัน นั่นก็คือ ไม่ยอมเป็นเจ้าของงาน หรือเจ้าของปัญหา หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม พยายามลอยตัวอย่างเต็มที่ คุ้นเคยกับการให้คำปรึกษาปัญหา โดยเอาวิธีแก้ปัญหามาจากที่อื่นที่เคยเจอมา มาบอกกับเรา ความสามารถในการให้คำปรึกษากับลูกค้าสูงมาก แต่เมื่อไรก็ตามที่เผลอต้องรับปัญหาไปจัดการเอง ความสามารถในการให้คำปรึกษากับตัวเอง จะลดลงจนเหลือเท่ากับความสามารถของลูกค้า มักจะสนใจใคร่รู้ในปัญหาต่าง ๆ ของลูกค้า และพยายามโน้มน้าวให้ลูกค้าแก้ปัญหาด้วยตนเอง (นัยว่าอยากให้ลูกค้าจับปลากินเอง) หลายครั้งที่วิธีแก้ปัญหาคิดขึ้นโดยลูกค้าเอง ทีมงานของบริษัทที่ปรึกษามีบทบาทเพียงแค่ชี้ช่องให้เท่านั้น ทีมงานของบริษัทที่ปรึกษาได้ประสบการณ์มากขึ้น จากการได้เรียนรู้ปัญหาแบบต่าง ๆ ของลูกค้า,
เคยอ่านเจอหรือได้ยินมาจำไม่ได้แล้ว แต่จำลำดับของมันได้เลยลำดับให้อ่านกัน คือมันเป็นวิถีแห่งการใช้คนอื่นให้ทำงานให้เรา มันเป็นการวัดว่าเรามีความสามารถแค่ไหน โดยไม่สนว่าจะใช้ลาภ, ยศ หรือสรรเสริญ เป็นตัวชักจูงให้ใคร ๆ ทำงานให้เรา โดยมันมีลำดับดังนี้ ใช้ปราชญ์ทำงานให้ ใช้ผู้บังคับบัญชาทำงานให้ ใช้เพื่อนทำงานให้ ใช้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้ ใช้คู่ครองหรือบุตรหลานทำงานให้ ใช้ตัวเองทำงานให้ ใครใช้คนลำดับที่ 1. ทำงานให้ได้ถือเป็นยอดคน แต่โปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่ล้วนใช้คนลำดับที่ 6. ทำงานให้ครับ อิ อิ
ผมได้ยินประโยค, คำร่ำลือ, การซุบซิบ และเทคโนโลยีซึ่งเกี่ยวกับการ “ทำงานจากที่บ้าน” มานานแล้วครับ และเท่าที่เห็นก็พบว่าทุกวันนี้นั้น เรามีความเป็นไปได้ที่จะทำแบบนั้น เรามี High Speed Internet ที่จะใช้เป็นกระดูกสันหลังหลักในการสื่อสาร เรามี Instant Message ที่จะใช้คุยกับเพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งทุกวันนี้เราก็ใช้คุยกับเพื่อนร่วมงาน ถึงแม้เพื่อนร่วมงานเราจะอยู่ห่างเพียงแค่โต๊ะอีกฟากนึงก็ตาม เรามีระบบ E-Mail ทั้งของบริษัทเอง แล้วก็ของฟรี เรามีระบบ Software
เมื่อวานเล่าค้างไว้เรื่องโมเดลใหม่ วันนี้เลยว่าจะมาต่อในส่วนที่เหลือ เพราะเมื่อวานโม้เอาไว้เรื่องอำนาจ วันนี้เลยจะมาต่อให้จบเรื่องของผลประโยชน์ อย่างที่ทราบกันดีว่าการสร้างเว๊ปไซต์ขึ้นมาซักหนึ่งเว๊ปนั้นมันมีต้นทุนของมัน เราอย่าเพิ่งไปพูดกันถึงว่าเราสร้างมันขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไรนะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มาคุยกันเรื่องต้นทุนก่อน ซึ่งต้นทุนมันควรจะประกอบไปด้วยอะไรบ้างล่ะ? ค่าจดทะเบียนโดเมน ค่าเช่าพื้นที่โฮสติ้ง หรือบางทีก็เช่าเครื่อง Server เป็นเครื่องกันไปเลย ต้นทุนของการเสียโอกาส ในการที่จะต้องมานั่งเขียนโปรแกรม หรือการติดตั้งโปรแกรม เพื่อให้เว๊ปมันทำงานได้ ต้นทุนของการเสียโอกาส ในการที่จะต้องมาดูแล เอาใจใส่ บรรจุเนื้อหาดี ๆ เข้าไป ของพวกนี้ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายทางตรงและทางอ้อม
ดูเหมือนการทำให้เว๊ปของตัวเองโด่งดัง โดยการหยิบยืมปัญญาสาธารณะมาใช้ ชักจะไม่ค่อยเวิร์กซะแล้วครับ คือผมก็เข้าใจนะว่าโดยแนวคิดปัจจุบันตอนนี้เนี่ย การจะทำให้เว๊ปโด่งดังได้ มันต้องเป็นอะไรที่เป็นชุมชน แบบว่าต้องให้ผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมกันได้มาก ๆ แต่ทีนี้มองในมุมกลับแล้วเราก็จะพบว่า มันเป็นการผูกขาดกลาย ๆ เหมือนกัน เพราะมันจะกลายเป็นว่าผู้ก่อตั้งเว๊ปไซต์ คือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด จากการที่มีคนในชุมชนสละปัญญาคนล่ะเล็กคนล่ะน้อย มาช่วยกันสร้างสรรค์เนื้อหาให้กับเว๊ปไซต์ ผมเองเคยเขียนเรื่องระบบเปิดเอาไว้ แต่ผมเขียนขาดไปแค่ส่วนเดียว ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก แล้วผมก็ลืมที่จะเขียนมันไป เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ ไม่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผมเลยไม่สนใจ นั่นก็คือ …
ในอาณาจักรจีนรัชสมัยจักรพรรดิ์หย่งเจิ้นแห่งราชวงศ์ชิง มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเหตุการณ์หนึ่ง มันเป็นเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยคู่ควรจะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์มากนัก แต่มันเป็นกรณีศึกษาอย่างดีสำหรับการปกครอง เรื่องมันมีอยู่ว่าหย่งเจิ้น มีความประสงค์ที่จะขยายดินแดนไปทางทิศตะวันตกเพื่อจรดซินเจียงอุยเกอร์ จึงมอบหมายให้แม่ทัพคนนึง (ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไร) ให้เป็นผู้จัดการเรื่องนี้ พร้อมกันนี้ก็ได้มอบกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย เพื่อให้แม่ทัพคนนี้ฝึกฝน สำหรับไปทำศึกฝั่งตะวันตก แม่ทัพคนนี้ฝึกฝนกำลังพลได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีระเบียบวินัยสูง อีกทั้งเชื่อฟังแม่ทัพคนนี้อย่างเคร่งครัด จนเมื่อฝึกฝนจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว จึงได้พากำลังพลทั้งหนึ่งหมื่นนายไปเข้าเฝ้าหย่งเจิ้น เพื่อให้หย่งเจิ้นได้ตรวจกองทหารทั้งหนึ่งหมื่นนายนี้ เมื่อหย่งเจิ้นปรากฎตัวและขึ้นยืนบนแท่นประทับ กำลังพลทั้งหนึ่งหมื่นนายก็ได้ยืนถวายพระพรหย่งเจิ้น หย่งเจิ้นจึงสั่งให้ทุกคนนั่งลง แต่กำลังพลทั้งหนึ่งหมื่นนายนิ่งเฉย ไม่ยอมนั่งลงแต่อย่างใด
ผมเคยได้ดูละครชุดเรื่องนึงครับ สร้างโดยทีมงานฮ่องกง เป็นละครที่ถ่ายทำเกี่ยวกับโจโฉเพียงด้านเดียว จะว่าละครชื่อสามก๊กก็ไม่น่าจะใช่ เพราะโดยตัวของละครแล้ว เน้นเรื่องการเมืองภายในของรัฐที่โจโฉยึดกุมอยู่มากกว่า เอาเป็นว่ามันจะชื่ออะไรก็ช่าง มาเข้าเรื่องกันต่อ มีอยู่ฉากนึงโจโฉได้ฟังขุนนางรายงานเกี่ยวกับรัฐของ “หม่าเชา” รัฐเล็ก ๆ ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของ “รัฐวุ่ย” ซึ่งโจโฉยึดครองพื้นที่อยู่ ในเกมส์ Romance of Three Kindom II จำได้ว่า “หม่าเชา” (สะกดว่า “Ma