ผมคิดว่าจะย้ายโฮสติ้งประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2550 นี้ครับ เพราะเนื่องจากเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ผมรู้สึกว่า “โฮสติ้งไม่น่าพึงพอใจ” ครับ การที่ผมคิดว่า “โฮสติ้งไม่น่าพึงพอใจ” นั้น ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ครับ มันเป็นเรื่องของเหตุผล (ล้วน ๆ) แล้วการที่ผมไม่พึงพอใจ นั่นก็แสดงว่าต้องเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่ ๆ เลยจริงแมะ? ดังนั้นผมก็ควรมาเรียบเรียงเหตุแห่งปัญหาดีกว่า ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ผมถึงไม่พอใจโฮสติ้งที่ผมกำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน!!! ทีนี้จะมาใช้วิธีพื้น ๆ มันก็ดูง่ายไป ดังนั้นผมคิดว่าผมเลือกใช้แผนภาพก้างปลาเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยวิเคราะห์ปัญหาของผมดีกว่า 😛
Category: Management
การจัดการองค์กร IT
ถ้าใครที่อ่านบล็อกนี้บ่อย ๆ จะพบว่า ผมมักจะนิยามว่าซอฟต์แวร์คือการบริการอยู่เสมอ ผมไม่ค่อยหรือไม่เคยนิยามว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ ถูกมั้ย? ตอนนี้ขอบข่ายของซอฟต์แวร์มันกว้างขึ้นครับ เพราะโดยตัวของซอฟต์แวร์นั้น จะเป็นบริการที่โดดเดี่ยวไม่ได้ มันจำเป็นที่จะต้องมีกระบวนการหลาย ๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งทำให้ตกผลึกออกมาเป็นสิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ (อ้างอิง: นักปรุงแต่งข้อมูลข่าวสาร) ในเมืองนอกนั้นถือว่าการให้บริการแก่ผู้บริโภค โดยใช้ซอฟต์แวร์เป็นตัวขับเคลื่อนในการบริการนั้น ถือได้ว่าเป็นศาสตร์อย่างนึงที่พัฒนาไปเป็นอย่างมาก แต่ผมไม่เคยนึกเลยว่าศาสตร์ทางด้านการขับเคลื่อนบริการให้แก่ผู้บริโภค โดยใช้ศาสตร์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแกนหลักนั้น กลับถูกพัฒนาอย่างเป็นล่ำเป็นสันที่อังกฤษไม่ใช่ที่สหรัฐอเมริกา!!! ศาสตร์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า Information Technology
วันนี้มาแนวการจัดการหน่อยนะคงไม่ว่ากัน 😛 ผมจะสมมติว่าตัวเองจะตั้งบริษัทผลิตบริการซอฟต์แวร์ โดยเป็นการส่งซอฟต์แวร์ให้กับผู้บริโภคตามหลักการของ Software as a Service นะ ผมก็เลยจำเป็นที่จะต้องรับสมัครพนักงาน 2 ตำแหน่ง โดยมีตำแหน่ง Web Application คนนึง กับ Desktop Application คนนึง รับแค่ 2 คนเท่านั้นเพราะไม่ค่อยมีตังค์ ซึ่งผมก็กำหนดว่าเงินเดือนให้มาตกลงกันตอนสัมภาษณ์งาน ทีนี้การส่งบริการซอฟต์แวร์ให้กับผู้บริโภค
พอดีไปอ่านเจอในบล็อกของคุณ mk ครับ หัวข้อคนไอทีไม่เข้มแข็ง ผมอ่านแล้วชอบใจมากอยู่เรื่องนึง คือเรื่องสภาโปรแกรมเมอร์ เมื่ออ่านแล้วก็เลยคิดว่าแทนที่จะคอมเม้นท์ในนั้น ผมว่าผมเล่าอะไรให้อ่านที่นี่ดีกว่า 🙂 เรื่องที่จะเล่าคือระบบการคัดเลือกผู้นำของเมืองจีนครับ เรื่องนี้น่าสนใจดีนะไม่ค่อยมีใครเล่าให้อ่านหรอก ผมจะเล่าให้อ่านกัน เมืองจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากครับ แล้วก็พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมากด้วย ซึ่งสิ่งนี้คือกุญแจสำคัญสู่การเป็นมหาอำนาจ เพราะมนุษย์คือกุญแจหลักของการพัฒนาอารยธรรมทั้งปวง ทรัพยากรธรรมชาติเป็นเพียงสิ่งส่งเสริมให้อารยธรรมก้าวหน้าเท่านั้น ดังนั้นการทำให้ทรัพยากรมนุษย์สร้างพลังได้มากที่สุด ก็ต้องอาศัยคณะผู้นำเป็นผู้กำหนดทิศทาง!!! เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะคัดเลือกผู้นำของเมืองจีนจึงใช้ระบบประชาธิปไตยเพื่อเลือกคณะผู้นำไม่ได้ เพราะถ้าเขาใช้วิธีดังกล่าว เขาจะได้คณะผู้นำที่ไม่สมบูรณ์แบบ แล้วเมื่อคณะผู้นำที่ได้มาไม่สมบูรณ์แบบ ก็จะไม่สามารถปกครองประเทศที่มีทั้งประชากรมหาศาลและผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ได้
มนุษย์เราทุกคนล้วนมีเวลาเท่ากันครับคือ 24 ชั่วโมงต่อวัน แล้วก็ 7 วันต่อ 1 สัปดาห์ ถ้าใครมีมากกว่านี้ผมเดาได้เลยว่าคน ๆ นั้นไม่ได้ยืนอยู่บนโลกแน่นอน ถ้าไม่อยู่ดาวพฤหัสบดีก็คงจะอยู่ในห้องมิติที่หงอเทียนกับทรังคูซฝึกฟิวชันเพื่อไว้สู้กับบูกระมัง วันนี้ผมว่าจะโม้เรื่องส่วนแบ่งตลาดหน่อย พวกเราคงพอจะเข้าใจส่วนแบ่งตลาดกันแล้ว ถ้าเป็นในแง่ของการครองตลาดของผลิตภัณฑ์ มันก็ให้ความหมายง่าย ๆ ว่า ผู้บริโภคยินดีจะจ่ายเงินในกระเป๋าตังค์ของตัวเอง เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งไปอุปโภคหรือบริโภค ซึ่งมันก็จะทำให้เงินในกระเป๋าตังค์เราหายไป แล้วก็ไปอยู่กับผู้ผลิตภัณฑ์เพียงเจ้าใดเจ้าหนึ่ง ส่วนเจ้าที่เหลือก็เตรียมเจ๊งได้เลย เพราะมีแต่ค่าใช้จ่ายแต่ไม่มีรายได้มาหล่อเลี้ยง ทีนี้ย้อนกลับมาเรื่องของ
ตอนนี้ผมกำลังค่อย ๆ สูญเสียทักษะของการเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไปครับ สืบเนื่องจากการที่ต้องทำงานในระดับจัดการมากขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้ในสมองผมมีแต่เรื่อง KPI, SLA และ PMO เต็มไปหมดเลย มันเป็นความจริงอันแสนโหดร้ายครับ ที่ทักษะพื้นฐานอันแสนภาคภูมิใจของเรา กำลังค่อย ๆ ถูกทำลายไปทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย โดยบทบาทหน้าที่ของงานที่ต้องทำ ผมรู้สึกว่ามันไม่ต่างกับการถูกทำลายวรยุทธ์เลยนะเนี่ย เมื่อเป็นเช่นนี้ มุมมองเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ของผมก็เลยเปลี่ยนไป จากที่สมัยก่อนผมมองว่าซอฟต์แวร์คือสิ่งอัศจรรย์ที่จะสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำในสิ่งที่ต้องการได้ กลายเป็น … ซอฟต์แวร์คือสิ่งที่มักจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา เราจึงต้องมาสร้างกระบวนการในการยับยั้งไม่ให้มันเกิดปัญหา
ผมจำได้ว่าเคยโม้ไปแล้วว่า มนุษย์เรานั้นหากเคยหาเงินได้จากทางใดได้อย่างสม่ำเสมอ ก็จะพยายามยึดเหนี่ยววิธีในการหาเงินดังกล่าวเอาไว้ ไม่ปล่อยไปไหน อีกทั้งพยายามที่จะอาศัยฐานดังกล่าว ต่อยอดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น ที่ผ่านมา … ผู้คนรอบตัวผมซึ่งเรียนมาทางคอมพิวเตอร์ ล้วนมีเส้นทางเดินที่ไม่แตกต่างกันมากนัก สรุปแล้วมีเส้นทาง 3 แบบ อันได้แก่ พวกแรก … ยังคงเป็นพนักงานกินเงินเดือนต่อไป เติบโตขึ้นกลายเป็น Specialist คนพวกนี้ยินดีจะเรียนต่อในระดับปริญญาโททางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์, เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ พวกสอง … ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องละทิ้งเส้นทางในการเป็น
เคยอ่านหนังสือชื่อเงินสี่ด้านมั้ยครับ มันถูกพิมพ์ออกวางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2544 แล้วก็เช่นเคย คือกว่าผมจะรู้ว่าหนังสือเล่มนี้มันดัง ก็ผ่านไปสองปีแล้ว เหอ ๆ ทั้งปี ไม่เคยรู้อะไรก่อนคนอื่นเลย หนังสือเล่มนี้อธิบายแหล่งรายได้ที่คนเราจะหาได้ อธิบายไปอธิบายมาเขาก็สรุปว่าถึงสุดท้ายแล้ว มนุษย์อย่างพวกเรามีหนทางเพียงแค่ 4 หนทางเท่านั้น ในการหารายได้เข้ากระเป๋าเราเอง นั่นก็คือ E = Employee = เป็นลูกจ้างในระบบธุรกิจ S =
งานเยอะทำไงดี โทษไว้ก่อนคนไม่พอ ถ้าโปรแกรมเมอร์ไม่พอก็ขอโปรแกรมเมอร์เพิ่ม ถ้านักวิเคราะห์ระบบไม่พอก็ขอนักวิเคราะห์ระบบเพิ่ม อยู่ดี ๆ เดินไปเคาะหน้าห้องระดับนโยบายว่าขอคนเพิ่ม ประเดี๋ยวจะโดนกระโดดเตะกระเด็นออกมาจากห้องจนได้ เพราะอะไร? เพราะจะขอคนเพิ่มได้มันต้องมีหลักฐานมายืนยันว่าคนมันไม่พอจริง ๆ ไม่พอเพราะงานมันล้นคนจริง ๆ ไม่ใช่ไม่พอเพราะเราบริหารคนไม่เต็มขีดความสามารถ!!! ระดับนโยบายจะยอมให้คนเพิ่มได้ด้วยเงื่อนไขเพียงแค่ 3 อย่าง อัตรากำลังคนสำรองยังเหลืออยู่ มีหลักฐานแสดงศักยภาพงานเทียบกับศักยภาพคน แล้วพบว่ามันล้น คนไม่พอจริง ๆ … และ วาทศิลป์อันเยี่ยมยอด
เว็บไซต์ที่โด่งดังก็เพราะมีคนเข้าเยอะ การที่มีคนเข้าเยอะก็เพราะเว็บไซต์นั้น ๆ มีอะไรดี ๆ มอบให้กับผู้เยี่ยมชม ถ้าแยกแยะไอ้อะไรดี ๆ ที่มอบให้กับผู้เยี่ยมชมออกเป็นพวก ๆ ก็น่าจะแยกได้เป็นสองอย่าง คือ เนื้อหา และ บริการ ถ้าเว็บไซต์จะมีเนื้อหาคุณภาพดี, น่าสนใจ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เราก็จำเป็นต้องมีทีมงานมาช่วยกันทำ แล้วเราควรจะมีคนซักกี่คนถึงจะดีล่ะ? คนเหล่านั้นควรเป็นคนที่จบคอมพิวเตอร์ซักกี่คนดี แล้วควรจะไม่ต้องจบคอมพิวเตอร์เป็นสัดส่วนเท่าไหร่ดีถึงจะเหมาะ? ในขณะที่เว็บไซต์ที่เน้นการให้บริการล่ะ อือ ยังไงก็ต้องใช้ทีมงานมาช่วยกันทำเหมือนกัน