ไม่ทราบว่ามีใครบ้างมั้ยครับที่ไม่รู้จักทฤษฎีเกม? ถ้าอยากรู้จักทฤษฎีเกมให้ลึกซึ้ง ผมขอแนะนำให้ไปบล็อกของท่านสุมาอี้ครับ รายนั้นเป็นกูรูทฤษฎีเกมระดับประเทศไทย ดังนั้นจึงสามารถอธิบายทฤษฎีเกมได้ดีกว่าผมหลายสิบเท่าเชียวแหล่ะ 🙂 สำหรับคนที่ไม่รู้ ขออธิบายอย่างย่นย่อว่า ทฤษฎีเกมเป็นทฤษฎีซึ่งใช้อธิบายผลประโยชน์ครับ ใช้เพื่ออธิบายจุดสมดุลแห่งผลประโยชน์ที่เราพึงจะได้ โดยตัดสินจากการเลือกของเรา และจากการเลือกของอีกฝ่ายหนึ่ง ผมเห็นว่าเมืองไทยเริ่มมีกระแส Web 2.0 เข้ามามากขึ้น เห็นได้จากการที่ใคร ๆ เริ่มทำเว็บแบบ Web 2.0 ซึ่งนิยามของ Web 2.0 ที่ใคร
Category: Inspiration
จินตนาการในเรื่องทางคอมพิวเตอร์ ที่ไม่รู้จะจัดเข้าพวกไหนดี
หลายปีมานี้ผมเห็นขอบเขตอะไรบางอย่างจากอินเตอร์เน็ต ฟากนึงคือกลุ่มคนหรือองค์กรที่พยายามสร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ใคร ๆ เข้ามาใช้กัน ซึ่งการสร้าง SaaS สาธารณะก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ส่วนอีกฟากนึงคือปัจเจกบุคคล ที่พยายามจะสร้างขอบเขตพื้นที่ของตัวเอง พยายามที่จะเป็นเอกเทศไม่ยึดโยงอยู่กับพื้นที่สาธารณะ อีกทั้งอาจคิดถึงกระทั่งสร้าง SaaS เพื่อใช้ส่วนตัวแต่เพียงผู้เดียว!!! จริง ๆ แล้วตัวอย่างง่าย ๆ ที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ก็คือ “บล็อก” เราจะเห็นว่าในเบื้องต้น คนที่เขียนบล็อกจะเริ่มเขียนในพื้นที่สาธารณะก่อน จากนั้นเมื่อเริ่มเล็งเห็นถึงความเป็นปัจเจกของตัวเอง ก็จะมาเปิดบล็อกโดยใช้โดเมนของตัวเองแทน ผมคิดว่าสำหรับ SaaS
ผมเคยดูน้องชายเล่นเกมส์ออนไลน์เกมส์นึงครับ เห็นเรียกชื่อเกมส์ว่า The Sim เกมส์ดังกล่าวจะให้เราสวมบทเป็นตัวละครอาชีพต่าง ๆ ผมเลยถามน้องชายว่าเล่นเป็นอาชีพอะไร เขาบอกว่าเลือกเล่นเป็นโปรแกรมเมอร์ ผมฟังแล้วก็งง ๆ ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้สนใจ (น้องชายผมเป็นวิศวกรเครื่องกล แต่ดันเล่นเป็นโปรแกรมเมอร์ สงสัยในเกมส์คงไม่มีอาชีพวิศวกรแฮะ เดาเอา) ให้หลังสองสัปดาห์น้องชายผมก็เล่นเกมส์นี้อีก ผมเลยถามว่าอาชีพโปรแกรมเมอร์มันสนุกมั้ย? น้องผมตอบว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์แล้ว เลื่อนตำแหน่งเป็น “ราชันย์ข้อมูลข่าวสาร” แล้ว ผมฟังแล้วเอ๋อไป น้องผมรู้ทันเลยบอกว่าอาชีพในเกมส์สามารถเลื่อนตำแหน่งได้ แล้วตำแหน่งสูงสุดของสายโปรแกรมเมอร์ก็คือ
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมเคยติดสอยห้อยตามเพื่อน ๆ เพื่อไปเยี่ยมชมศูนย์คอมพิวเตอร์ของธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยครับ (ตอนนี้น่าจะเรียกว่าธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยความครอบครองของสิงค์โปรถึงจะถูก) ทางเข้ามีสามชั้นครับรัดกุมดี พอเข้าไปแล้วก็พบกับศูนย์คอมพิวเตอร์พื้นที่กว้างขวางมาก ๆ อีกทั้งยังยกพื้นขึ้นมาเหนือพื้นปรกติราว 30 เซ็นติเมตร และนอกจากนี้ผมก็พบคอมพิวเตอร์เครื่องขนาดสูงท่วมหัว เรียงรายอีกกว่า 100 เครื่อง รู้สึกตอนนั้นจะได้รับเกียรติจากหัวหน้าศูนย์คอมพิวเตอร์ เป็นผู้พาเราชมสถานที่พร้อมการบรรยายเสร็จสรรพ ผมก็ฟังไปเรื่อย ๆ นะ แต่ก็สะดุดอยู่จุดหนึ่งคือเรื่องความจุของคอมพิวเตอร์ สมัยนั้นคอมพิวเตอร์ที่ผมรู้จักถ้ามี RAM 2
นักท่องเน็ตส่วนใหญ่มักต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวในพื้นที่สาธารณะครับ แล้วการที่เราจะแสดงตัวตนในพื้นที่ดังกล่าวได้ เราก็ต้องใช้ ID และ รหัสผ่าน ช่างเป็นอะไรที่พื้นฐานจริง ๆ ไม่ว่าจะผ่านมากี่สิบปีก็เหมือนเดิม 🙂 ผมคิดว่ายังไม่มีใครทำคู่มือให้นักท่องเน็ตมือใหม่ใช่มั้ยครับ ว่าการจะเป็นนักท่องเน็ตที่คล่องตัวนั้น เราควรจะมี ID ของเว็บไซต์ไหนบ้าง งั้นมาโม้กันหน่อยดีกว่า 😉 โดยนับจากตัวผมเองก็แล้วกันครับ ว่าผมมี ID อยู่ที่ไหนบ้าง โดยผมจะเลือกมาเฉพาะตัวที่กลาง ๆ นะ ไอ้ตัวที่ใคร
การจะให้บริการ SaaS นั้นต้องคำนึงถึงโฮสติ้งเป็นอันดับแรก ๆ ครับ สิ่งที่ผมคำนึงถึงก็คือ ความเร็ว, ความจุ และความกว้าง ความเร็วคือต้องส่งบริการถึงผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราให้เร็วที่สุด ความจุคือต้องมีพื้นที่มาก ๆ เพื่อเอาไว้วางฐานข้อมูล, สคริปต์ และไฟล์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ความกว้างคือต้องมี BandWidth ต่อเดือนเยอะ ๆ ที่มากพอ จะได้ไม่อึดอัดกังวลว่ามันจะเต็ม ทีนี้โดยความเป็นจริงมันเป็นยังไง โฮสติ้งเมืองไทย
พวกเราเป็น geek ทางคอมพิวเตอร์ครับ ดังนั้นต่อให้เราเชื่ออะไรผิด ๆ แต่ถ้าหากว่ามี geek คนอื่น ๆ ช่วยกันยืนยันอย่างหนักแน่น เราย่อมแอบย่องไปค้นหาข้อมูลว่าที่เราเชื่อนั้นมันผิดหรือเปล่า ผมมักจะได้รับรู้ได้รับฟังความเชื่อที่ผิด ๆ เกี่ยวกับศาสตร์ทางคอมพิวเตอร์อยู่บ่อย ๆ ครับ แต่ไม่ได้รับรู้รับฟังมาจาก geek ทางคอมพิวเตอร์หรอกนะ พวกเราน่ะเก่งกันอยู่แล้ว ไม่ค่อยจะผิดกันง่าย ๆ หรอก แต่ส่วนใหญ่ผมจะได้ยินมาจากคนนอกวงการคอมพิวเตอร์มากกว่า ความเชื่ออาจจะใช่หรือไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ได้
จากการสังเกตุพบว่า ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตของไทย มีความแตกต่างจากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในอเมริกาและภาคพื้นยุโรป กล่าวคือ ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในไทยส่วนใหญ่ นิยมเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อมา “เสพ” มากกว่าเข้ามาเพื่อ “แบ่งปัน” ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะโดยลักษณะแล้ว คนไทยถ่อมตนไม่ชอบโอ้อวดหรือแสดงออก ด้วยเหตุเพราะเกรงว่าใคร ๆ จะหมั่นไส้เอา หากโชว์พาวมากเกินไป จึงทำให้ WEB 2.0 ไม่เติบโตมากนักในไทย ทุกคนอยู่เหมือนเดิม คือชอบ WEB 1.0 มากกว่า ผมมองว่าการให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในไทย
ชาวออนไลน์มีหลายประเภทครับ ซึ่งสัดส่วนของกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนมีผลต่อบริการแบบ SaaS ก็เลยว่าจะเรียบเรียงไว้ซะหน่อย กลัวว่าจะลืม ว่าแล้วก็โซโล่เลยดีกว่า นักอ่าน แบบว่าอ่าน อ่าน และก็อ่านอย่างเดียว ไม่เคยจะอะไรเลย ซ่อนตัวมิดชิด นักลงทะเบียน เห็นที่ไหนมีบริการไม่ได้ เป็นต้องลงทะเบียนขอแจมด้วย แต่ก็ใช้บริการอย่างเดียว ไม่ข้องเกี่ยวกับใคร นักวิจารณ์ พวกนี้จะเริ่มแสดงตัวตนในชุมชน มีล็อกอินที่เป็นนามปากกา มีการวาดลวดลายต่าง ๆ เอาไว้ให้เป็นที่ประจักษ์ ส่วนใหญ่จะปรากฎตัวอยู่ตามเว๊ปบอร์ด หรือไม่ก็มีฟรีบล็อกของตัวเอง
เมื่อสองสามวันก่อนผมเขียนไว้เรื่องการปฏิวัติสารสนเทศ โดยเน้นไปที่การปฏิวัติสารสนเทศ อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนรูปแบบของทุนสำรองเงินตราและการปริวรรตเงินตราของชุมชนออนไลน์ในอนาคต มาวันนี้ขอเป็นนักอนาคตศาสตร์อีกวันนึง เพื่อทำนายแนวโน้ม, งาน, ความมั่งคั่ง และความยั่งยืนของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในอนาคตกันดีกว่า การปฏิวัติสารสนเทศเป็นเครื่องย่นกาลเวลา ที่จะนำมาซึ่งสองสิ่งที่มีผลเกี่ยวเนื่องกัน การแพร่กระจายของความรู้, การแลกเปลี่ยนความรู้ และการจัดระเบียบความรู้ นำมาซึ่งการตกผลึกความคิดแนวใหม่, รูปแบบการผลิตสินค้าและบริการแนวใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดสินค้าทดแทนต่าง ๆ ขึ้นมากมาย การมีสินค้าทดแทนเกิดขึ้น จะนำมาซึ่งการปรับขบวนของแรงงาน ซึ่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์เองก็หลบเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ เพราะนักพัฒนาซอฟต์แวร์เองก็ถือว่าเป็นชนชั้นแรงงานเช่นกัน เมื่อทราบถึงแนวโน้มที่จะเป็นไปได้จากผลเกี่ยวเนื่อง อันเกิดจากการปฏิวัติสารสนเทศจากย่อหน้าข้างบนแล้ว ก็จะทำให้สามารถทำนายอนาคตของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ออกมาได้เป็น