สมัยก่อน ผมเรียนคอมพิวเตอร์แรก ๆ ผมค่อนข้างให้ความสนใจกับการเขียนซอฟต์แวร์มาก ๆ เลย จึงละเลยไม่เคยสนใจไอ้สิ่งที่เรียกว่าระบบปฏิบัติการ เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรมีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องสนใจ มาภายหลังเห็นหนังสือเล่มนี้อยู่ที่แผงหนังสือ ก็เลยซื้อมาอ่านดู เพราะตอนนั้นยังไม่ได้เรียนระบบปฏิบัติการ กว่าจะได้เรียนก็อีกสี่ห้าปีภายหลังจากนั้น พออ่านดูก็โอ้ว พระเจ้าจอร์จ ทำไมระบบปฏิบัติการมันถึงได้วุ่นวาย ยุ่งยาก ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนเป็นตุ๊ดงี้วะเนี่ย? ตอนนั้นผมจึงเข้าใจว่าทำไมในโลกนี้ถึงได้มีระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องพีซีเพียงไม่กี่จ้าว ก็มันยากแบบนี้นี่หว่า มันถึงไม่มีใครทำออกมาแข่งเลย ทีนี้จะเล่าเรื่องนี้ให้อ่านกัน มันเป็นมุขส่วนตัวของผมเอง
Author: ไท้ ปริญญา
ผมเคยซื้อหนังสือเล่มนึงมาอ่านครับ หนังสือชื่อว่า The Future of Money เขาอธิบายเรื่องนึงเอาไว้ซึ่งน่าสนใจมาก เขาบอกว่า “ข้อมูล” เป็นสินค้าที่ใช้แล้วไม่หมดไป ยิ่งใช้ยิ่งมากขึ้น และ “ข้อมูล” ก็เป็นเพียงแค่วัตถุดิบ การจะทำให้วัตถุดิบอย่าง “ข้อมูล” พร้อมใช้งานได้ ต้องผ่านการปรุงแต่งซะก่อน เพื่อให้กลายเป็น “สารสนเทศ” ประเด็นนี้ค่อนข้างน่าสนใจมาก ความหมายมันมีนัยยะที่กว้างขวาง ผมจะอธิบายให้เป็นเชิงเปรียบเทียบ เพื่อให้ได้อรรถรสมากขึ้น ในสมัยก่อนมนุษย์เราหาวัตถุดิบเพื่อมาทำอาหารเลี้ยงชีพได้อย่างยากลำบากมาก
สำหรับคนที่เรียนทางด้านการจัดการมา คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Michael E. Porter ผมเองถึงแม้จะเป็นคนในแวดวงพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่ก็รู้จัก Porter เหมือนกัน โดยรู้จักผ่านงานเขียนเรื่อง Competitive Strategy: Techniques for Analyzing Industries and Competitors ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายถึงเทคนิคการวิเคราะห์สภาพธุรกิจ และคู่แข่งขันเพื่อกำหนดปัจจัยแห่งชัยชนะ โดยอิงจากการแข่งขันเพื่อผลิตสินค้าและบริการในโลกอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่ไม่ยาวมากนัก ประมาณร้อยกว่าหน้าเห็นจะได้ แต่จุดสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือภาพข้างล่างนี้ Porter
รู้อะไรก็ให้รู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล ประโยคข้างบนนี้ยังเป็นภาษิตที่ยังมีการกล่าวถึงในปัจจุบันครับ คิดว่ามีหลายคนที่เชื่อตามภาษิตนี้ แต่บางคนก็อาจจะไม่ บางคนอาจจะบอกว่าถ้ารู้แค่อย่างเดียว เราอาจจะเอาตัวรอดในสังคมทุนนิยม, อุตสาหกรรม, ประชาธิปไตย และเสรีนิยมใหม่แบบนี้ไม่ได้ อันนี้ก็นานาจิตตังกันไปครับ แล้วแต่ความคิดของแต่ล่ะคน แต่ แต่สำหรับผมนะ ผมเห็นว่าการพัฒนาซอฟต์แวร์คือสิ่งที่ผมควรจะรู้ให้มากที่สุด ควรจะรู้จริง ไม่ใช่รู้เพื่อมาเที่ยวตอบคำถามใครเพื่ออวดภูมิ แต่เป็นการรู้เพื่อปฏิบัติจริงได้ แก้โจทย์ได้ เพื่อบรรลุถึงผลประโยชน์สูงสุดที่ต้องการ จากนั้นเมื่อรู้จริงในสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุดแล้ว จึงค่อยแตกกิ่งก้านสาขาไปเรียนในสาขาวิชาอื่น ๆ ต่อไป
หลังจากลองมันมาหลายวัน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเปลี่ยน theme ครับ เพราะ theme เดิมมันไม่เหมาะด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ก็เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกครับ เพราะผมกำลังทดสอบ Cascade Style Sheet อยู่ บอกตรง ๆ ว่าผมมีประสบการณ์สร้างซอฟต์แวร์มาเยอะแล้วก็จริงนะ แต่กับ CSS เนี่ย มันทำให้ผมกลายเป็นไอ้โง่ไปเลยอ่ะ ผมกำลังคิดว่าถ้าอะไรหลาย ๆ
ผมไม่ได้นำเสนอเว๊ปประเภท Software as a Service มาเกือบสิบวันแล้ว วันนี้เอาซะหน่อย โดยวันนี้จะนำเสนอเว๊ปปฏิทินออนไลน์ครับ ผมว่าเว๊ปนี้เข้าท่าดีนะ เพราะเราสามารถบันทึกกิจกรรมในปฏิทิน, บันทึกนัดหมาย และบันทึกการทำงานเอาไว้ในปฏิทินออนไลน์นี้ได้ แถมเราไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ประเภท Microsoft Outlook หรือ LotusNote เอาไว้ที่เครื่องด้วย เพราะเป็นการใช้งานผ่านเว๊ปไซต์ ใช้ที่ไหนในโลกที่มีอินเตอร์เน็ตต่ออยู่ก็ได้ ดูเหมือนว่าบริการปฏิทินออนไลน์ใคร ๆ ก็ทำนะ อย่าง Google,
วันนี้ผมได้อ่านข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ครับ เรื่องที่ทางสหรัฐอเมริกามีความกังวลอย่างมากกับการที่ผู้ก่อการร้าย จะโจมตีระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายของตน โดยความกังวลถูกพุ่งเป้าไปที่ระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายที่ใช้สำหรับอำนวยความสะดวกให้กับสถาบันการเงิน, ตลาดเงิน, ตลาดตราสารหนี้ และตลาดตราสารทุน ข่าวดังกล่าวเป็นข่าวเล็ก ๆ ครับ ผมเองคลิ๊กเข้าไปดูแล้วก็พบว่ามีคนเข้ามาดูข่าวนี้ไม่กี่ร้อยคน น้อยจัง!!! ผมคิดว่ามนุษย์เราคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการฝังรหัสพันธุกรรมให้ชอบใช้กำลังต่อกันนะ มนุษย์เราจึงสร้างอารยธรรมขึ้นมาโดยการทำสงครามตลอดมา ตอนแรกก็ทำสงครามกับสัตว์อื่น จนไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่จะทำสงครามชนะมนุษย์แล้ว ช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา มนุษย์ก็เลยหันหน้ามาทำสงครามกันเอง ความก้าวหน้าของระบบทุน, วิทยาศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์ และอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้แนวรบของสงครามเปลี่ยนไป โลกมันเปลี่ยนไป จากที่สมัยก่อนแนวรบอยู่เพียงชายแดนเท่านั้น มาพักหลังแนวรบก็ขยับเข้ามาในตัวเมืองมากขึ้น
ผมจำไม่ได้แล้วล่ะ ว่าหนังสือเล่มนี้วางขายเมื่อไหร่ แต่ที่จำได้แน่ ๆ ก็คือมันเป็นหนังสือที่ดังมาก ดังโคตร ๆ เลยในตอนนั้น เพราะเป็นการแหวกกรอบการขายหนังสือคอมพิวเตอร์ก็ว่าได้ ซึ่งโดยปรกติแล้วหนังสือคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็จะเน้นการเขียนโปรแกรมเป็นหลัก การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเป็นรอง ก็มีเล่มนี้นี่แหล่ะที่ฉีกแนวสุด ๆ นำเอาสิ่งที่คนที่ทำงานด้านระบบคอมพิวเตอร์, ระบบเครือข่าย และระบบอินเตอร์เน็ตรู้อยู่ก่อนแล้ว ออกมาตีแผ่ถึงช่องโหว่ต่าง ๆ แถมสอนวิธีการแหกระบบด้วย พอดีว่าผมเติบโตมาจากการเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ครับ จึงรู้สึกตื่นเต้นกับหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก ผิดกับเพื่อนผมอีกหลาย ๆ คนที่เขาเอกทางด้านระบบคอมพิวเตอร์,
ผมค่อนข้างเชยครับ ภาพยนต์เรื่องใดที่ชาวบ้านเขาดูกันไปชาติกว่าแล้ว ผมถึงเพิ่งจะได้ดู และที่ได้ดูก็เพราะว่าร้าน TSUTAYA แถวบ้าน มีวีซีดีเรื่องนั้น ๆ ให้เช่า ผมแวะเข้าไปเจอ ก็ถึงได้มีโอกาสเช่าเรื่องที่ชาวบ้านเขาดูกันไปตั้งนานอักโขแล้วมาดู อย่างเรื่อง superman return นี่ก็เหมือนกัน ไม่รู้ออกจากโรงภาพยนต์มานานเท่าไหร่ แต่ที่แน่ ๆ ผมเพิ่งได้ดูเมื่อสองวันก่อนเอง หนังอะไรก็ไม่รู้ยาวบรม ตั้งสามแผ่นแน่ะกว่าจะดูจบ สงสัยคงเป็นเพราะคนสร้างต้องการให้การกลับมาของ superman อลังการแน่ ๆ
ผมจำได้ว่าผมเคยโม้ไว้ในบล็อกนี้ในหัวข้อ การพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้ควบคุมสั่งการ Robotic วันนี้ผมเลยคิดว่าผมจะมาต่อยอดเรื่องนี้ดีกว่า น่าจะดี บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าอนาคตของมนุษยชาติเรา คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ ที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหุ่นยนต์ในอนาคตอันใกล้นี้ จริงอยู่ที่ตลอด 30 ปีทีผ่านมา การวิจัยหุ่นยนต์มันก็อยู่แต่ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์นั่นแหล่ะ แต่ของแบบนี้มันไม่แน่ไม่นอน เพราะวันดีคืนดี ของที่วิจัยกันอยู่ในห้องทดลอง มันก็โผล่พรวดพราดออกมาอยู่ในท้องตลาดได้ อำนาจบางอย่างกำลังเปลี่ยนผ่านครับ บางทีเราอาจจะไม่ได้สังเกตุกัน ผมขอนอกเรื่องนิดนึงเพื่ออธิบายอะไรนิดหน่อย ก่อนจะเข้าสู่เรื่องหุ่นยนต์ต่อ เพื่อจะได้เข้าใจภาพรวมทั้งหมด ทราบกันมั้ยครับว่าปัจจุบันประเทศไทยเรา โครงสร้างอำนาจจริง ๆ เป็นดังภาพด้านขวานี้ครับ