กำลังเข้าช่วงปีใหม่ ไม่ได้หมายความว่าทุก ๆ คนซึ่งเป็นลูกจ้าง, คนทำธุรกิจส่วนตัว, เจ้าของกิจการ และนักลงทุนจะได้หยุดกันหมด มันต้องมีใครบ้างที่ไม่ได้หยุดกัน เท่าที่รู้ว่าไม่ได้หยุดแน่ ๆ และที่ไม่ได้หยุดไม่ใช่เพราะว่าอยากจะหาเงินพิเศษ แต่เป็นเพราะหน้าที่มันค้ำคอก็มี แพทย์, พยาบาล, ตำรวจ, ทหาร และสื่อมวลชน นักพัฒนาซอฟต์แวร์หลายคนก็ไม่ได้หยุด ไม่ใช่เพราะอยากจะหาเงินพิเศษ แต่เป็นเพราะช่วงวันหยุดยาว มันช่างเหมาะจะปรับเปลี่ยนระบบซอฟต์แวร์เสียนี่กระไร ขอเป็นกำลังใจให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์, วิศวกรคอมพิวเตอร์, วิศวกรระบบ, DBA,
Author: ไท้ ปริญญา
ก็อย่างที่รู้กันครับว่าเมื่อวานนี้ (27 ธันวาคม 2549) เกิดแผ่นดินไหวโครม ๆ ๆ ๆ แล้วก็เลยทำให้สายสัญญาณซึ่งมีหน้าที่ในการบริการอินเตอร์เน็ตเสียหาย (อ่านจากข่าวนี้ได้) ผมคิดว่าในอนาคตโลกของเราจะใช้งานอินเตอร์เน็ตกันอย่างหนาแน่นมากขึ้นกว่านี้ การให้บริการซอฟต์แวร์ในรูปแบบของ Software as a Service ก็จะมีมากขึ้น ปัจจุบัน ปัจจัยเร่งที่จะทำให้การส่งบริการซอฟต์แวร์ตามหลักการของ Software as a Service แพร่หลายมากขึ้นมีอยู่ 2
ปัจจุบันนี้ สำหรับประเทศที่ต้องการมีอารยธรรมที่ก้าวหน้า คงหลีกหนีไม่พ้นที่ต้องมีการวิจัยพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครับ และการจะวิจัยพัฒนาที่ว่าได้ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูจากทางรัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วรัฐบาลก็ตอบสนองความต้องการที่จะก้าวหน้าเหล่านั้น ด้วยการตั้งห้องปฏิบัติการแห่งชาติขึ้นมา ผมพยายามจะเรียบเรียงให้ดูว่าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นมหาอำนาจเดี่ยวของโลกอยู่ในเวลานี้ กับประเทศไทยเราซึ่งควรจะเป็นมหาอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่ามีความแตกต่างกันในเรื่องของห้องปฏิบัติการแห่งชาติยังไงบ้าง งั้นเรามาดูห้องปฏิบัติการแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาก่อน … จากตารางจะเห็นว่าผมมีการแบ่งคอลัมน์จากวิชาทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานคือ ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา และแอบแฝงคอมพิวเตอร์เข้าไปเล็ก ๆ คือจริง ๆ จะบอกว่าห้องปฏิบัติการเหล่านี้ มีการวิจัยในสาขาวิชาที่ละเอียดกว่านี้ แต่โดยความจริงแล้วก็ไม่พ้นพื้นฐานทั้งสี่อย่างนี้ ผมก็เลยพยายามจัดหมวดหมู่ให้มันดูง่าย ๆ
วันนี้คุยหัวข้อจิตวิทยาเล็ก ๆ หน่อยแล้วกันนะครับ คุยแต่เรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์บางทีมันก็ไม่สนุก 😛 อย่างที่เรารู้กันครับว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ถือได้ว่าเป็นบุคลากรที่สำคัญประเภทหนึ่งในองค์กรหรือบริษัททั่วไป เพราะพวกเขาจะเป็นได้ทั้งคนใน Cost Center และ Profit Center มีความหมายว่าเป็นได้ทั้งผู้ให้บริการแก่ User ในฐานะที่ตนเองนั้นเป็นผู้สร้างต้นทุนให้กับหน่วยงานต่าง ๆ และเป็นผู้ให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งเมื่อให้บริการแก่ลูกค้าแล้วก็จะได้สิ่งตอบแทนกลับมานั่นก็คือรายได้ แล้วไปทำให้เกิดผลกำไรต่อบริษัทต่อไป โดยธรรมชาติแล้ววิชาความรู้ทางคอมพิวเตอร์ ถือเป็นความรู้ประเภทไฮเทค เป็นความรู้แบบยาก ๆ ที่จะต้องประกอบด้วยความรู้หลาย ๆ
วันนี้ผมว่าผมโม้เรื่อง File Extension บ้างดีกว่า เทคนิคหน่อยนะวันนี้ 🙂 จะบอกว่าตอนนี้ในโลกคอมพิวเตอร์ของพวกเรามี File Extension เยอะแยะเต็มไปหมดเลยเน้อะ ทั้งที่คิดค้นโดยบริษัท, หรือองค์กร, หรือแม้กระทั่งโดยตัวบุคคลเดี่ยว ๆ อย่างที่ผมเคยโม้เอาไว้อ่ะครับว่า ถึงสุดท้ายแล้วการเขียนซอฟต์แวร์ของเรา ก็มีจุดพื้นฐานง่าย ๆ อยู่ที่การนำข้อมูลเข้า, การประมวลผล และการแสดงผลลัพท์¿ ซึ่งกระบวนการทั้งสามอย่างนี้เราหลีกหนีไม่พ้นเลย ที่จะต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับข้อมูลใน RAM และข้อมูลใน
ไหนลองมานับซิว่าคนเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่แล้วเขาเรียนกันกี่ปี? ลองนับดูนะ ถ้าเรียนมาทางสายสามัญ เฉพาะจบปริญญาตรีก็แสดงว่าเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์มา 4 ปีถูกแมะ? ถ้าเรียนมาทางสายอาชีพ เช่น ปวช. หรือ ปวส. ก็จะเรียนคอมพิวเตอร์ตอน ปวช. ปี 3 แล้วก็ต่อคอมพิวเตอร์ตอน ปวส. อีก 2 ปี ก็นับรวมได้ 3 ปี ยิ่งถ้าเรียนต่อปริญญาตรีต่อเนื่อง
โดยปรกติแล้วคนที่เริ่มเรียนการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะพบว่า ตนเองต้องฝึกพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อติดต่อกับหน่วยความจำหลักเป็นหลัก หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่าติดต่อกับ RAM บทเรียนตั้งมากมายที่เรียนผ่านไป ก็พูดถึงแต่เรื่องของตัวแปรซึ่งเก็บอยู่ใน RAM ก็หัดกันไปครับ ลองผิดลองถูกกันไป สังเกตุกันมั้ยครับว่า หลักสูตรทางคอมพิวเตอร์จะจัดให้เรียนวิชาโครงสร้างข้อมูลและการประมวลผลข้อมูลก่อน แล้วจึงให้เรียนวิชาการประมวลผลไฟล์ข้อมูลทีหลัง แต่บางที่ก็ให้เรียนมันพร้อม ๆ กันทั้งสองวิชานั่นแหล่ะ เอาให้นักศึกษาที่เรียนงงงวย หัวหมุนติ้วไปเลย ยัดให้เรียนกันเข้าไป ไม่ว่าศาสตร์ทางคอมพิวเตอร์จะก้าวหน้าไปแค่ไหน แต่เอาเข้าจริง ๆ
คิดว่าหลายคนคงจะรู้จักกับ open source และนิยามของมัน ใช่ม้า ใช่ม้า แล้วส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะใช้ซอฟต์แวร์ประเ฿ท open source ด้วย เพราะมันมีกลไกอะไรหลาย ๆ อย่างที่ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ไม่มี ก็แหงอยู่แล้วล่ะ ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่ ให้ความสนใจกับคนหมู่มากเป็นหลัก ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาชูกลไกสำหรับคนหมู่มาก ส่วนกลไกที่คนส่วนน้อยต้องการ ก็ละเลยไปซะงั้น ซึ่งก็เลยทำให้ open source สามารถแทรกตัวขึ้นมาได้ ด้วยเหตุฉะนี้นี่เอง ผมได้รู้จักกับ
สองสามวันที่ผ่านมา ผมต้องเข้าประชุมบ่อยมากเลยครับ เพื่อทำความตกลงกับบริษัทที่เข้ามารับงานเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างระบบ Front Office กับระบบ Back Office ผมต้องวิ่งเข้าประชุมวงการเงินทีนึง แล้วก็วิ่งไปเข้าประชุมวงพัสดุทีนึง แล้วก็วิ่งเข้าไปประชุมวงต้นทุนทีนึง วุ่นวายเชียวแหล่ะ เพราะต้องไปให้ข้อมูลเพื่อให้แขกอินเดียที่มาทำงานให้เรา เขาเข้าใจว่าโดยกลไกทางคอมพิวเตอร์แล้ว เราต้องการให้เขาทำอะไรบ้าง การประชุมเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์พวกเนี้ย จะต้องมีคนหลาย ๆ ฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องครับ แต่ล่ะคนก็เก่ง ๆ กันทั้งนั้น ยึดมั่นถือมั่นในความต้องการของตนเองเป็นหลักด้วย จุดที่น่าสนใจในการประชุมที่วุ่นวายเหล่านี้ก็คือ ผู้ใช้งานระบบครับ
สิ่งมีชีวิตในโลกทุกชนิดล้วนต้องกินอาหารครับ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์เราหรอก มนุษย์เราก็ต้องกินอาหารเหมือนกัน จะเห็นว่าการที่มนุษย์อย่างพวกเราจะเติบโตขึ้นมาได้ มีแรงกาย แรงสมอง ขึ้นมาได้ เราต้องกินอาหารไปไม่รู้เท่าไหร่ บางคนก็กินวันล่ะสามมื้อ บางคนก็วันล่ะห้ามื้อ แถมอาหารที่เรากิน ส่วนใหญ่ก็คือเนื้อสัตว์และพืชผัก ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตอื่นอีกทีนึง จึงสรุปได้ว่าการที่มนุษย์เราจะมีกำลังวังชาขึ้นมาได้ ก็ด้วยการกินสิ่งมีชีวิตอื่น และกินแร่ธาตุเล็ก ๆ น้อย ๆ จากธรรมชาตินั่นเอง ความรู้ในสมองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างพวกเราก็เหมือนกัน เราเองคงจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้หรอก ถ้าเราไม่กินความรู้จากผู้อื่นที่มีความรู้ดังกล่าวอยู่ก่อนอีกทอดนึง ความรู้เป็นอาหารสมองที่ย่อยง่าย, ย่อยเร็ว