นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้เขมือบความรู้

สิ่งมีชีวิตในโลกทุกชนิดล้วนต้องกินอาหารครับ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์เราหรอก มนุษย์เราก็ต้องกินอาหารเหมือนกัน จะเห็นว่าการที่มนุษย์อย่างพวกเราจะเติบโตขึ้นมาได้ มีแรงกาย แรงสมอง ขึ้นมาได้ เราต้องกินอาหารไปไม่รู้เท่าไหร่ บางคนก็กินวันล่ะสามมื้อ บางคนก็วันล่ะห้ามื้อ แถมอาหารที่เรากิน ส่วนใหญ่ก็คือเนื้อสัตว์และพืชผัก ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตอื่นอีกทีนึง

จึงสรุปได้ว่าการที่มนุษย์เราจะมีกำลังวังชาขึ้นมาได้ ก็ด้วยการกินสิ่งมีชีวิตอื่น และกินแร่ธาตุเล็ก ๆ น้อย ๆ จากธรรมชาตินั่นเอง

ความรู้ในสมองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างพวกเราก็เหมือนกัน เราเองคงจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้หรอก ถ้าเราไม่กินความรู้จากผู้อื่นที่มีความรู้ดังกล่าวอยู่ก่อนอีกทอดนึง

ความรู้เป็นอาหารสมองที่ย่อยง่าย, ย่อยเร็ว โดยเฉพาะความรู้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์จะมีอายุที่จำกัด บางคนนะเขมือบความรู้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าไปมากมาย จนสมองกางเลย แต่ผ่านไปไม่กี่เดือนกี่ปี ก็ต้องเขมือบความรู้ใหม่แล้ว เพราะความรู้เดิมมันย่อยหมดไปแล้ว

นักพัฒนาซอฟต์แวร์จึงเป็นผู้เขมือบความรู้ที่ตะกละตะกลามมาก เพราะต้องคอยเขมือบความรู้เข้าสมองอยู่เป็นระยะ เพื่อให้สมองมีอาหารหล่อเลี้ยงไม่ให้ฝ่อไปซะก่อน 🙂

ผมเองก็ไม่สามารถมีความรู้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ครับ ถ้าไม่กินความรู้จากคนอื่นอีกที 😛 การกินความรู้จากคนอื่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอกนะ เราแค่กินเพื่อให้สมองเรามันอิ่มและเติบโตเท่านั้นเอง 🙂

ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสร่วมงานกับบริษัทซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาหรือให้บริการซอฟต์แวร์มากมายครับ ด้วยเหตุผลเพราะว่าบริษัทที่ผมเคยทำงานหรือทำงานอยู่ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการหากินกับการพัฒนาหรือบริการซอฟต์แวร์โดยตรง จึงช่วยไม่ได้ที่เราจะต้องจัดจ้างมืออาชีพมาสร้างหรือให้บริการในส่วนที่เราไม่สามารถทำเองได้

ผ่านมาสิบปีแล้ว ดังนั้นบริษัทที่ผมเคยร่วมงานด้วยก็เลยมีเยอะครับ ไม่ว่าจะเป็น IBM, Oracle, Satyam, Nortel, TeleData, CTAC, Accenture, Deloitte, IT-ONE, CT-Asia, Alcatel-Lucent, Schlumberger, IBA เป็นต้น (ยังมีอีก แต่ที่เหลือไม่ใช่บริษัทพัฒนาหรือให้บริการซอฟต์แวร์เลยไม่ขอโม้ถึงก็แล้วกัน)

บริษัทเหล่านี้ผมร่วมงานด้วยในลักษณะร่วมหัวจมท้ายกัน ตามแต่โครงการที่ทำร่วมกันครับ เพราะผมรู้ระบบของบริษัทของตัวเอง ในขณะที่บริษัทผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้รู้จักการสรรหา Tools มาช่วยงานและมีมาตรฐานในการทำงานที่ดีเยี่ยม

การทำงานร่วมกับบริษัทเหล่านี้นะ สำหรับผมแล้วเหมือนกับการได้นั่งกินโต๊ะจีนเลยล่ะ คิดแล้วน้ำลายไหล เพราะผู้เชี่ยวชาญของบริษัทเหล่านี้มีความรู้มากมายให้ผมกิน ๆ ๆ ๆ และกินได้อย่างเอร็ดอร่อยมาก ๆ เลย พวกเขามีความรู้ดี มีประสบการณ์เยอะ และมีมาตรฐานในการทำงานที่เยี่ยม การได้ทำงานร่วมกับคนพวกนี้ มันทำให้ตัวผมได้ซึมซับทักษะและมาตรฐานหลาย ๆ อย่างจากพวกเขา ผมรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง … และเมื่อจบโครงการไปแต่ล่ะครั้ง ผมก็รู้สึกว่าตัวเองได้รู้มากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น แกร่งกล้ามากขึ้น โดยที่ตัวเองไม่ต้องไปขวนขวายหาความรู้จากที่ไหนไกล ๆ เลย

ผลสรุปของประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้อย่างหนึ่งว่า เราจะเก่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะเรามัวแต่งมโข่ง นั่งเงียบ ๆ หาความรู้อยู่คนเดียวหรอก แต่เราจะเก่งขึ้นได้ ก็ด้วยการร่วมงานกับคนอื่นที่เขาเก่งกว่าเราต่างหากล่ะ

จงกินความรู้ของคนที่เก่งกว่า แล้วจงเป็นคนที่เก่งกว่า เพื่อให้คนที่ด้อยกว่าเรามากินความรู้ของเราต่อไปครับ 😛

[tags]เขมือบ,กิน,ความรู้,ผู้เชี่ยวชาญ,โต๊ะจีน[/tags]

Related Posts

11 thoughts on “นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้เขมือบความรู้

  1. “จงกินความรู้ของคนที่เก่งกว่า แล้วจงเป็นคนที่เก่งกว่า เพื่อให้คนที่ด้อยกว่าเรามากินความรู้ของเราต่อไปครับ” ชอบมากเลยครับคำนี้
    เมื่อก่อน(สมัยมัธยม)ผมไม่เคยมีนิสัยในการติดตามข่าวสารมากมายเท่าไหร่ แต่พอหลงมาในวงการนี้แล้วก็หยุดไม่ได้ที่จะต้องอ่านหาความรู้ไหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ความรู้คอมพิวเตอร์มันไหม่ได้ทุกวันจริงๆครับเป็นอะไรที่ไม่เคยหยุด เพราะถ้าเราอยู่กับที่นั้นหมายถึงเรากำลังเดินถอยหลังเพราะคนอื่นๆเค้ากำลังเดินไปข้างหน้า ขอบคุณพี่ำไท้น่ะครับที่เป็นผู้มาก่อนที่ดีเดินผ่านแล้วมาเขียนป้ายบอกทางให้กับคนมาทีหลัง ถ้าวันหนึ่งผมพร้อมเมื่อไหร่ก็คงจะพยายามทำเช่นเดียวกับที่พี่ทำนี่แหละครับ

  2. ไม่ได้ Comment นานละวันนี้เอาหน่อยแล้วกันน๊ะ อิอิอิ เดี๋ยวพี่ไท้ น้อยใจอีกเหอๆๆ คนเก่งแบบนี้น่านับถือจริง ๆ เหอๆๆๆ แค่นี้แหละ

  3. น่าอิจฉานะ ครับ ที่ได้ร่วมทีมงานก็บริษัทที่กล่าวมา
    เพราะที่ทำงานผม ทำงานแบบบริษัทเดียวๆ หาข้อมูล กันเองทางเน็ท
    ก็ได้กินข้อมูลไฟส์หนังสือจาากเวปพี่ไท้นี่แหละ ครับ ช่วยได้มากทีเดียว

  4. ป้ายบอกทางของผมมันเป็นป้ายเล็กอ่ะครับคุณ memtest มันไม่ใหญ่พอจะให้ทุกคนได้อ่านหรอก แค่ 1024×768 เท่านั้นเอง 😛

    ผมแค่เคยร่วมงานกับบริษัทมามากกว่า 10 บริษัทต่างหากคุณเดย์ เข้าใจผิดแล้วเด้อ

    น้อยใจ ๆ อ่ะคุณสิทธิศักดิ์ เหอ ๆ

    ไฟล์หนังสือผมก็จะร่อยหรอลงไปแล้วเหมือนกันแฮะ เพราะแจกมาสามเดือนติดต่อกันแล้ว สงสัยต้องไปลงเสาะแสวงหามาให้เพิ่มเติมแล้วล่ะคุณ deep

  5. พี่ไท้ อายุเท่าไหร่ แล้วครับเนี่ย ประสบการณ์มากขนาดนี้ แต่ ผมชอบ Tag ตอนลงท้ายพี่นะ อ่านแล้ว ได้ความรู้สึก เหมือนกับคน กำลังหิว มากๆ อะไรสักอย่างหนึ่ง

  6. แหมคุณ chokelive ถามอายุผม ผมก็เขินอ่ะดิ ไม่บอกหรอก มันเป็นความลับ อ่ะนะ คุณไม่รู้อ่ะดิว่าผู้ชายเราอ่ะ จะมีความลับสี่อย่างที่ไม่บอกใคร นั่นก็คือ อายุ, น้ำหนัก, ทรัพย์สิน แล้วก็จำนวนเมียไง 😛 เอิ๊ก ๆ

  7. เคยร่วมงานเหรอครับ ผมอ่านเองงงเองแหละครับ ผมชอบตรงความลับ 4 อย่างนี่ละครับ โดยเฉพาะข้อ 4 ฮาๆๆ ขำกลิ้งเลย

  8. สวัสดีครับ
    เพิ่งเข้ามาอ่านใหม่ครับ
    ชอบความรู้ในบลอคพี่มากๆครับบ

    ยังไงก็ ขอเขมือบความรู้จากพี่ด้วยละกันนะครับ

    >_

  9. ไรอ่ะคุณ xinexo ไมว่าผมแก่งั้นอ่ะ ยังไม่ถึงเด้อ

    มันเป็นความลับอันเป็นอมตะครับคุณเดย์ อิอิ

    กินผมไปถึงครึ่งตัวแล้วหรือยังอ่ะคุณ businet งี้ผมก็แย่ดิ 😛

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *