รู้จักเฟรนไชส์มั้ยครับ ถ้าเขียนด้วยภาษาอังกฤษก็จะเป็น Franchise ครับ ทีนี้หากใครไม่รู้ว่าเฟรนไชส์คืออะไร กรุณาอ่านจากลิงค์ Franchising เองนะ เพราะผมขี้เกียจเล่าอ่ะเรื่องมันยาว โอ๊ะ ไม่เล่าก็ไม่ได้แฮะเดี๋ยวจะไม่รู้เรื่อง งั้นเอาสั้น ๆ ก็แล้วกันนะ เฟรนไชส์คือเราทำมาค้าขายอะไรซักอย่างนึง แล้วการทำมาค้าขายของเรามีการวางระบบที่ดี สร้างกระแสเงินสดได้คล่องมือ แถมแบรนด์ของเราก็ดังด้วย เราก็เลยมีกระแสเงินสดเป็นบวก คนอื่นเขาก็อยากมีกระแสเงินสดเป็นบวก ก็เลยมาขอซื้อ “ระบบ” และ “แบรนด์” จากเรา
Category: Business Model
โม้เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจที่อิงแอบกับระบบคอมพิวเตอร์
ผมเห็นว่าเดี๋ยวนี้เว๊ปไซต์ส่วนใหญ่ จะเสียบกลไกบล็อกเอาไว้ด้วย แถมเห็นว่าเว๊ปไซต์ที่ให้บริการซอฟต์แวร์ ตามหลักการของ Software as a Service เอง ก็เสียบกลไกบล็อกเอาไว้เหมือนกัน จากรูปข้างบนจะเห็นว่า บล็อกเป็นเพียงแค่กลไกเสริมเท่านั้น ไม่ใช่กลไกหลัก แต่ผมกลับมองว่าบล็อกควรเป็นกลไกหลัก แล้วให้ในบล็อกมีบริการซอฟต์แวร์ ตามหลักการของ Software as a Service ดังรูปข้างล่าง การเกิดขึ้นของ Ajax Framework เป็นสิ่งที่ผมชอบมาก
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีใครอยากให้ประเทศไทยเป็นเหมือนอินเดียอยู่หรือเปล่า ที่จะให้เมืองไทยเราเป็นผู้ส่งออกบริการซอฟต์แวร์ หรืออยากให้เมืองไทยเราเป็น Silicon Valley แห่งที่สามของโลก จำได้ว่าเคยแวะไปหลาย ๆ เว๊ปไซต์และหลาย ๆ บล็อก ที่มีการถกเถียงกันว่าโดยคุณสมบัติแล้ว ประเทศไทยเราจะเป็น Sillicon Valley แห่งที่สามของโลกได้หรือเปล่า? ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นได้หรือไม่ได้ ผมคงไม่ต้องกล่าวถึง เพราะเรื่องนี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว การที่กลุ่มทุนในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อังกฤษ และสหภาพยุโรป เลือกแบ่งเอาภาระงานบางอย่าง
ปัจจุบันผมยังคิดว่าพวกเรายังอยู่ในยุคแห่งการปฏิวัติสารสนเทศอยู่นะ โดยเป็นการปฏิวัติเป็นส่วน ๆ กันไป แยก ๆ กันปฏิวัติ นิยามการปฏิวัติก็คงต้องหมายถึงความเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติสารสนเทศก็มีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงที่โน้มเอียง, พึ่งพิง และอิงแอบอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์, ระบบซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่าย สินค้าทดแทนเองก็เป็นผลข้างเคียงจากการปฏิวัติสารสนเทศ เพราะเมื่อการปฏิวัติสารสนเทศสำเร็จเป็นส่วน ๆ ไปนั้น ก็จะทิ้งผลลัพท์เอาไว้ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างพวกเรา ที่เคยอุปโภคบริโภคสินค้าชนิดหนึ่ง แล้วหันเหไปอุปโภคบริโภคสินค้าชนิดใหม่ บางครั้งการหันเหจากสินค้าเดิมไปใช้สินค้าทดแทนตัวใหม่ อาจเป็นแบบปัจจุบันทันด่วน เปลี่ยนกันแบบรวดเร็ว
ตั้งหัวข้อมาซะใหญ่โตทีเดียวครับ พอดีผมไปโม้ไว้ที่ BlogNone ว่าผมจะเขียนเรื่องนี้อ่ะครับ เลยต้องมาทำตามสัญญาซะหน่อย 🙂 เรามาทำความเข้าใจกันก่อนครับ ว่าอารยธรรมมีความหมายว่าอะไร? เอ้อ นั่นสิเน้อะ ผมก็เลยไปคุ้ยหาความหมายมาให้จากราชบัณฑิตยสถานครับ เขาบอกงี้ อารยธรรม = ความเจริญด้วยขนบธรรมเนียมอันดี. นิยามน้อยไปนะ แต่ก็โอเค เพราะเขานิยามกันมาโดยผู้ทรงภูมิปัญญาแล้วเน้อะ!!! ผมเชื่อว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยของเราคงมีหลาย ๆ คนที่คิดเหมือน ๆ กันว่า ทำไมหนอประเทศไทยซึ่งเป็นอารยธรรมซึ่งมีอายุยืนนานตั้งกว่า 700
ในปี พ.ศ. 2532 ผมจบการศึกษาจากชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ครับ แล้วก็มีความแน่วแน่อย่างมากที่อยากจะเรียนทางด้าน computer เพราะได้แรงบันดาลใจจากการ์ตูนเรื่อง “เมียม” ซึ่งเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่เล่าถึงการเขียน software computer คิดว่าคนสมัยนี้คงไม่มีโอกาสได้ดูแล้วล่ะน่าเสียดาย ตอนนั้นฉายที่ช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณ 🙂 สนุกมาก ๆ แต่มาทราบในตอนนั้นครับ ว่าการจะเรียนทางด้าน computer ต้องเรียนในระดับปริญญาตรีนู่นแน่ะ โดยตอนนั้นฝังจำมาจากอาจารย์แนะแนวว่า ต้องไปเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์
วันนี้ผมนั่งทำงานอยู่ดี ๆ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นมา ผมก็ตกใจรีบรับสาย ตอนที่จะรับก็เห็นแว่บนึงว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นเบอร์ *1003 แต่มือมันไวกดรับไปแล้ว แถมยังแนบฟังที่หูเรียบร้อยแล้ว ก็เลยต้องฟังไป มันเป็นระบบอัตโนมัติที่โทรมาจากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือครับ เสียงเจื้อยแจ้วทีเดียว ก็พูดเป็นฉาก ๆ เลยว่ามีโปรโมชันใหม่มาแนะนำ พร้อมทั้งชี้แนะว่าต้องกดโน่นกดนี่ เพื่อให้ได้มาซึ่งโปรโมชันใหม่ (และผมก็ต้องเสียตังค์ด้วย) ทีนี้หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าเจ้ากลไกดังกล่าวเรียกว่าอะไร มันเรียกว่า Interactive Voice Response หรือ
พวกเราอาจจะสังเกตุเห็นว่า ในขณะที่บริษัทสร้างซอฟต์แวร์หลายแหล่งของสหรัฐอเมริกาสร้างสรรค์ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ออกมามากมาย ธุรกิจซอฟต์แวร์ก็เฟื่องฟู หันไปมองที่เกาหลีซึ่งมีบอร์ดแบนด์ที่ใหญ่โต พวกเขาก็ก้าวหน้าทางด้านเกมส์ออนไลน์และบริการออนไลน์ พอมองไปที่อินเดียซึ่งมีบังกาลอร์เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่นั่นก็มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ฝีมือดี ราคาถูก รับงานจากทั่วโลก มีชื่อเสียงไปทั่ว ทีนี้หันกลับมามองเมืองไทยเราบ้างครับ ว่าธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ของเราไปถึงไหนแล้ว? ที่จะตอบได้ก็คือ เมืองไทยเรากำลังเติบโตอย่างเชื่องช้าทางด้านธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ครับ สาเหตุมีหลายสาเหตุ เกิดจากหลายมิติทั้งทางรัฐศาสตร์, เศรษฐศาสตร์, สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยมีสาเหตุหลักดังต่อไปนี้