สิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีวิตกันเป็นสังคม ล้วนประกอบด้วยชนชั้นปกครองและชนชั้นที่ถูกปกครอง และปัจจัยที่ทำให้ชนชั้นปกครองมีศักดิ์และสิทธิ์ในฐานะดังกล่าวได้ ก็ด้วยการมีแหล่งกำเนิดอำนาจอยู่ในมือ!!! สำหรับแมลงหรือสัตว์ แหล่งกำเนิดอำนาจก็ได้แก่ กำลัง และ ความมีเอกลักษณ์ทางชีวภาพ … แต่สำหรับมนุษย์ แหล่งกำเนิดอำนาจย่อมซับซ้อนกว่า เพราะประกอบไปด้วย เงินตรา, กลไกรัฐ, ธุรกิจผูกขาด, ความรู้, ภาพลักษณ์, เครือข่าย, สื่อ และ กำลัง!!! ปัจจุบันมีการค้นคว้าวิจัยในทฤษฎีหนึ่ง นั่นก็คือทฤษฎี Technological
Category: Management
การจัดการองค์กร IT
ตอนที่เล่นเกม Civilization แอบเห็นรูปแบบการปกครองที่เรียกว่า Universal Suffrage ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทางตรง ไม่ผ่านตัวแทน ไม่จำเป็นต้องมีตัวแทน เพราะประชาชนมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเพื่อเสนอมติ และลงคะแนนเพื่อบังคับใช้กฎหมาย ถ้าเราตัดประเด็นที่ว่า การที่เราต้องมีตัวแทนก็เพราะเราไม่ชำนาญกฎหมาย, เราไม่มีเวลามาอภิปราย, เราไม่สนใจกฎหมายหลาย ๆ ตัว, มีกฎหมายให้พิจารณาอภิปรายเป็นตั้ง ๆ จนน่าเบื่อ หรือ เรื่องบางเรื่องเราแทบจะไม่มีความรู้เลย … ตัดประเด็นเหล่านี้ออกไป เราก็จะพบว่าโอกาสที่เราจะทำ Universal
เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจไม่ดี เอกชนย่อมไม่สามารถที่จะมีอำนาจซื้อได้ ดังนั้น ภาระของการสร้างอำนาจซื้อจึงอยู่ที่ภาครัฐ ซึ่งสิ่งที่ภาครัฐจะต้องทำก็คือ การกระตุ้นการเบิกจ่ายงบฯเพื่อนำไปใช้จ่ายตามหน่วยงานรัฐต่าง ๆ โดยหวังว่าการที่หน่วยงานรัฐเป็นผู้มีอำนาจซื้อซะเอง จะทำให้กลไกเศรษฐกิจของประเทศสามารถจะขับเคลื่อนไปได้!!! แต่เนื่องจากการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานรัฐ จำเป็นที่จะต้องทำตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความโปร่งใส เพราะเงินที่เอามาใช้จ่ายล้วนเป็นเงินภาษีทั้งสิ้น ดังนั้น เอกชนทั้งหลายที่เป็นผู้ถูกว่าจ้างโดยหน่วยงานรัฐ จึงจำเป็นจะต้องทำตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งก็เป็นเหมือน ๆ กันทุกหน่วยงาน นั่นก็คือ ถ้าไม่ใช้วิธี “ประกวดราคา” ก็ต้องใช้วิธี “ประมูลราคา”!!! สิ่งที่เอกชนจำเป็นจะต้องรู้ หากอยากจะหากินกับภาครัฐก็คือ
ถ้าเรายังคงเป็น “ลูกจ้าง” ซึ่งจำเป็นต้องทำงานในระบบของผู้อื่น หรือเรายังคงเป็น “คนทำธุรกิจส่วนตัว” ซึ่งจำเป็นต้องทำงานให้กับระบบของตัวเองแล้วล่ะก็ สิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นก็คือ เราต้องทำ “งาน” คนที่เรียนทางคอมพิวเตอร์มา มักจะสับสนกับภาระงานของตัวเองมาก ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะให้น้ำหนักกับงานไหนมากกว่ากันดี ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นบทบาทของระดับจัดการ ที่จะวางกำลังคนของตนเองโดยดูจาก “เนื้องาน” ที่ระบบนั้น ๆ มีอยู่เป็นสำคัญ งานคอมพิวเตอร์นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ งานโครงการ ซึ่งเรียกให้สวยหรูว่า
เจ้านายเก่าของผมเคยสอนเอาไว้ว่า ถ้าเราต้องการจัดสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วมีคนที่เขาทำเป็นอาชีพ ทำจนชำนาญ มีประสบการณ์ในการทำมากกว่าเรา อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้เราจ้างเขาได้ ก็จงจ้างเขาเถิด เพราะเราจะได้เอาเวลาไปทำในสิ่งที่ตัวเราเองถนัดดีกว่า อือม ช่างตรงกับแนวคิดของ Outsourcing เสียนี่กระไร!!! งั้นถ้าโจทย์ที่เจอมามันเป็นแบบนี้ล่ะ คือเราต้องการสร้างระบบซอฟต์แวร์เชื่อมโยงขนาดใหญ่ แต่บังเอิญเราเก่งแต่การซ่อมบำรุงและดูแลระบบซอฟต์แวร์ เราไม่เก่งการสร้างสิ่งที่ยังไม่มีตัวตนขึ้นมา งั้นเราก็จำเป็นจะต้องควักตังค์เพื่อไปจ้างบริษัทที่เขาเก่งมาทำให้เราถูกแมะ? ทีนี้บริษัทที่ยอมรับงานดันเสนอราคา 20 ล้านบาทพอดิบพอดีอ่ะดิ แล้วทางเราก็พยายามจะต่อราคาให้ลดน้อยลง ซึ่งทางบริษัทก็ยอมด้วยแฮะ โดยลดราคาจาก 20 ล้านบาทเหลือ
หลายวันก่อนผมถูกเชิญให้ไปเยี่ยมชมการทำงานของธนาคารแห่งหนึ่ง โดยไปกับคณะทำงานด้านการเงินจ่าย ซึ่งมีหน้าที่ในการจ่ายเงินให้กับเจ้าหนี้ขององค์กรด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายด้วยเงินสด, เงินโอน หรือ เช็ค สาเหตุที่ต้องไปเยี่ยมชมก็เพราะว่า ทางองค์กรจ่ายเช็คเองไม่ไหวแล้ว เนื่องจากองค์กรมีเจ้าหนี้เยอะเหลือเกิน ดังนั้น ต้นทุนในการจัดการเรื่องเช็คจึงค่อนข้างสูง ซึ่งผมเข้าใจด้วยความรู้สึกตัวเองว่า ที่ว่าไม่ไหวแล้วคงหมายถึง ระดับนโยบายคงเซ็นเช็คเองไม่ไหวแล้วเพราะไม่มีเวลา!!! ทีมงานของธนาคารบรรยายสรุปให้เราฟัง ทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งที่เขากำลังเสนอให้กับลูกค้าก็คือ การช่วยออกเช็คและส่งให้กับเจ้าหนี้ โดยที่ทางเราไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากส่งรายชื่อและวงเงินที่ต้องการจ่ายให้เจ้าหนี้เท่านั้น!!! พอฟังมาถึงตรงนี้ ทำให้ผมพบข้อสรุปที่น่าสนใจหลายประการ ได้แก่ 1.
นอกจากผลตอบแทนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จะใช้เป็นเงื่อนไขในการจูงใจให้คนมาทำงานด้วยก็คือ “ตำแหน่ง” ดังนั้น “ชื่อตำแหน่ง” มันก็เลยสำคัญไม่แพ้บทบาทที่จะต้องให้ทำ เท่าที่รู้ ตอนนี้มีตำแหน่งอยู่ประมาณนี้ในตลาดแรงงานทางคอมพิวเตอร์ กำลังคิดอยู่ว่าจะมีชื่อตำแหน่งที่มันฟังดูแล้วเท่ แถมเข้ากับบทบาทหน้าที่ที่ต้องทำได้อย่างไม่ขัดเขิน และที่สำคัญเรียกแล้วต้องได้รับการยอมรับในวงกว้างอีกต่างหาก อือม จะมีอีกมั้ยหนอ???? ตอนนี้นึกเพิ่มได้ตำแหน่งนึง … Software Architect !!! [tags]ตำแหน่งงาน,ทางคอมพิวเตอร์[/tags]
ปรกติแล้ว เวลาเราจะเลือกจ้างบริษัทไอทีให้มาทำ Application Project หรือทำ Application Management ให้กับองค์กรของเรา เราต้องให้ความใส่ใจกับการกำหนดความต้องการเป็นหลัก และเมื่อกำหนดความต้องการได้แล้ว เราถึงจะเรียกให้บริษัทไอทีเหล่านั้นเข้ามาเสนอราคาสู้กัน ว่าใครให้ราคาต่ำที่สุดและทำได้ครบตามความต้องการของเรา ถ้าเทียบกับการจัดซื้อจัดจ้าง Hardware แล้ว ต้องบอกเลยว่า Application ยากกว่าแยะ เพราะเรากำหนดสเป็คแบบเป๊ะ ๆ แบบ Hardware ไม่ได้! แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี จากเดิมที่เคยต้องมานั่งกำหนดสเป็คเพื่อให้รองรับความพึงพอใจสูงสุด
มันเป็นเรื่องน่าแปลก ที่เมื่อเราต้องสอบวัดความรู้เพื่อเรียนต่อในระดับซึ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เราจะพบว่าจำนวนวิชาที่ต้องสอบมีน้อยลง จากเดิมที่เคยต้องสอบเป็นสิบ ๆ วิชา ก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่วิชา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องสอบเพื่อเรียนต่อคอมพิวเตอร์ในระดับสูง ๆ เราก็จะเจอแค่ข้อสอบ คณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ และ คอมพิวเตอร์ เท่านั้น!!! และมันก็เป็นเรื่องน่าแปลก ที่คนซึ่งสอบติดเข้ามาได้ มักจะมีสองพวกใหญ่ ๆ คือ … พวกที่ทำคะแนนสูงในวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ กับ
เมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว ในปลายราชวงศ์ฮั่นแห่งจักรวรรดิ์จีน ได้มีบุรุษกระเดื่องนามถือกำเนิดขึ้น ซึ่งหากเราเรียกชื่อของเขาด้วยสำเนียงจีนกลาง บุรุษผู้นั้นก็จะมีชื่อเรียกว่า “จูเก่อเลี่ยง” แต่ชื่อนั้นของเขามักไม่เป็นที่รู้จักกันนัก หากเทียบกับชื่อ “ขงเบ้ง” อันลือลั่น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในโลกใบนี้ ในระดับผู้บริหารจัดการ สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องทำที่สุดก็คือ การมองภาพใหญ่ของงานทั้งหมด จากนั้นก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไร, ที่ไหน, อย่างไร, เมื่อไหร่, ใคร และ เท่าไหร่? เมื่อได้คำตอบครบถ้วนแล้ว ในฐานะผู้บริหารจัดการ ก็ต้องมีการเรียกประชุมเพื่อซักซ้อมความเข้าใจ