นับตั้งแต่ “หวงอี้” ซึ่งเป็นนักประพันธ์วรรณกรรมชื่อดังของจีน ได้แต่งนิยายกำลังภายในเรื่อง “เจาะเวลาหาจิ๋นซี” ขึ้นมา ก็ทำให้เกิดปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงในแวดวงนิยายกำลังภายในของจีนเป็นอันมาก เพราะตอนนี้นักแต่งนิยายอิสระในเมืองจีนต่างก็เลียนแบบหวงอี้กันเป็นการใหญ่ โดยบางคนก็แต่งนิยายว่าตัวเอกย้อนไปยุคราชวงศ์ถัง บางคนก็ย้อนไปยุคราชวงค์ซ่ง หรือบางคนก็ย้อนไปถึงยุคราชวงค์ซัง เป็นต้น อาศัยว่าอารยธรรมจีนมีมายาวนานถึง 5,000 ปี ก็เลยลักไก่เจาะเวลากันเป็นว่าเล่นแบบนี้!!! ทุก ๆ เรื่องมีลักษณะเด่นที่เหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ ตัวเอกมักจะมาจากยุคสมัยที่มีความรู้ก้าวล้ำกว่ามาก จึงทำให้เมื่อย้อนกลับไปในอดีตแล้ว ตัวเอกก็เลยกลายเป็นคนพิเศษไปโดยปริยาย เนื่องจากสามารถที่จะคิดอะไรหรือผลิตอะไรที่คนในยุคดังกล่าวคิดหรือทำไม่ได้! งั้นก็เป็นหลักฐานได้อย่างหนึ่งสินะว่า “ความรู้”
Category: Inspiration
จินตนาการในเรื่องทางคอมพิวเตอร์ ที่ไม่รู้จะจัดเข้าพวกไหนดี
การเป็นราชันย์มีความหมายว่าอยู่เหนือผู้ใด ไม่มีใครมีอำนาจเหนือได้อีก ดังนั้นการเป็นราชันย์แห่งข้อมูลข่าวสารก็น่าจะหมายถึง การมีข้อมูลข่าวสารที่เหนือกว่าผู้ใด ไม่มีใครมีข้อมูลข่าวสารได้เหนือกว่าอีก สมัยก่อนการเป็นราชันย์แห่งข้อมูลข่าวสารทำได้ยาก เพราะสื่อส่วนใหญ่เป็นระบบปิด มีระยะเวลาในการนำเสนอที่ล่าช้า แต่เดี๋ยวนี้การเป็นราชันย์แห่งข้อมูลข่าวสารทำได้ง่าย เพราะมีเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นระบบเิปิด รวมทั้งมี Web Feed ให้ใช้กัน ทำให้ย่นระยะเวลาในการรวบรวมข่าวสารให้กระชับฉับไวยิ่งขึ้น ในเมื่อมีเครื่องมือเพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน ตอนนี้บรรดาราชันย์แห่งข้อมูลข่าวสารเลยต้องวัดกันว่า ใครจะเสพข้อมูลข่าวสารได้มากกว่ากัน การเสพข้อมูลข่าวสารมันก็ไม่ได้แตกต่างกับการดื่มน้ำ ถ้าดื่มเข้าไปมาก ๆ ก็อาจจะเกิดอาการบวมน้ำได้!!! เมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องมีการสรุปย่อข้อมูลข่าวสารกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับรายละเอียดมากนัก ซึ่งหากเป็นภาคการเงินเขาก็จะมีดัชนีชี้วัดต่าง
แหล่งกำเนิดอำนาจของมนุษย์ประกอบไปด้วย 8 แหล่งอันได้แก่ เงินตรา, กลไกรัฐ, ธุรกิจผูกขาด, สื่อ, ภาพลักษณ์, เครือข่าย, ความรู้ และ กำลัง ถ้าเราอยู่ในเมือง แหล่งกำเนิดอำนาจทั้ง 8 แหล่งจะสามารถแสดงพลังได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น … เงินตรา, กลไกรัฐ, ธุรกิจผูกขาด, สื่อ, ภาพลักษณ์, เครือข่าย, ความรู้
ที่ดินถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่อย่างจำกัด ในยุคเกษตรกรรมเราใช้ที่ดินเพื่อการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ในขณะที่เมื่อเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม เราเจียดที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งของโรงงาน, โกดังสินค้า และถนนหนทาง เมื่อเมืองเริ่มขยายตัว ที่ดินถูกเจียดและจัดสัดส่วนใหม่ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานและที่อยู่อาศัย มนุษย์เราใช้ที่ดินเพื่อตอบสนองต่อปัจจัย 4 สลับสับเปลี่ยนกันไป ตามแต่ความต้องการในขณะนั้น ๆ หลังจากที่ระบบทุนนิยมประกาศชัยชนะและได้ครอบครองโลกใบนี้ ที่ดินก็ได้ถูกเปลี่ยนบทบาทไปเป็นทรัพย์เก็งกำไร มีการปั่นราคาที่ดินขึ้นไปสูง ๆ มันมีราคาสูงจนกระทั่งถ้าหากเราซื้อมันมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าชาตินี้เราจะคืนทุนจากมันได้เมื่อไหร่?? ดังนั้นถ้าจะให้สรุปแล้ว คุณสมบัติของที่ดินจึงอยู่ตรงที่มันสามารถตอบสนองทางตรงต่อปัจจัย 4 ของมนุษย์ได้ ไม่ว่าจะเป็น…
ผมคงต้องขอบคุณคนที่คิดค้นสมการคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้เป็นผลสำเร็จ อือม ต้องบอกว่าเก่งจริง ๆ ที่คิดค้นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แบบนี้ขึ้นมาได้ และก็ต้องขอบคุณคนที่พยายามพิสูจน์ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นมีอยู่จริง อีกทั้งยังสามารถสร้างอุปกรณ์ภาครับและภาคส่งเพื่อพิสูจน์ให้เห็นจะ ๆ คาตาได้ เสียดายผมไม่ได้เรียนวิชาสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามา อิจฉาคนเรียนทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจัง T-T เมืองไทยเราเริ่มมีการนำเข้าเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สายมา 5 ปีได้แล้วมั๊ง (ถ้าผมจำไม่ผิดนะ) ตอนแรกก็มาในลักษณะของอุปกรณ์กระจายสัญญาณเครือข่ายไร้สาย แต่หลังจากนั้นผ่านมา 5 ปี ต้องบอกเป็นภาษาชาวบ้านว่า ตอนนี้ห่าเหวอะไรที่ต่อกับคอมพิวเตอร์แม่งก็ไร้สายหมดแล้ว อือ แต่ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สายเนี่ยมันดีจริง ๆ
มาลองนิยามสมมติฐานกันหน่อย … 1. ในยุคเกษตรกรรม ผู้ใดมีดาบและใช้ดาบเก่ง ผู้นั้นมีอำนาจ 2. ในยุคอุตสาหกรรม ผู้ใดมีปืนและใช้ปืนเก่ง ผู้นั้นมีอำนาจ 3. ในยุคทุนนิยมครองโลก ผู้ใดมีเงินตราและใช้เงินตราเก่ง ผู้นั้นมีอำนาจ 4. ในยุคปฏิวัติสารสนเทศ ผู้ใดมีซอฟต์แวร์และใช้ซอฟต์แวร์เก่ง ผู้นั้นมีอำนาจ สำหรับ 3 ข้อแรกนี่ไม่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นไปแล้ว แต่ไอ้ข้อ 4 นี่สิ
อ่านใน Technology Review 10 อันดับ แล้วก็พบว่า Offline Web Application คือหนึ่งใน 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในอนาคต ผมว่าคนที่จัดอันดับคงเกรงใจคนวงการคอมพิวเตอร์มั๊ง เลยจัดอันดับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นี้เข้าไปด้วย ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าวิศวกรรมพันธุศาสตร์, นาโนเทคโนโลยี, ประสาทวิทยา และฟิสิกส์อนุภาคน่าจะสำคัญมากกว่า!!! เมื่อก่อนผมก็เคยคิดเหมือนกันนะ ว่าน่าจะเป็นการดีหากผมสามารถใช้งาน Web Application ได้
สถิติเป็นเรื่องที่น่าสนใจ มันเหมือนกับว่าเราไม่หูหนวกตาบอด เราได้รู้ว่ามีใครเข้ามาที่บล็อกของเราบ้าง แล้วก็เข้ามาด้วยความสนใจในสิ่งใด ทีนี้ผมก็นับสถิติของบล็อกแห่งนี้ ณ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ได้ดังนี้ ถ้าดูจาก stats.in.th จะพบว่าเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551 บล็อกแห่งนี้มี 563 UIP ถ้าดูจาก plugins feed
พวกเราคงจะรู้จักเห็ดรานะครับ มันมีลักษณะเหมือนกันคือแพร่พันธุ์ด้วยการปล่อยสปอร์ แล้วพวกมันก็โตเร็วซะด้วยสิ ถ้าลองได้อยู่ในพื้นที่ที่ชุ่มชื้นเหมาะสม พวกมันก็จะโตเอาโตเอา ตอนนี้ผมเองก็เห็นว่า Social Networking ในเมืองไทยเรา กำลัง Clone แบบมาจากเมืองนอก … เหมือนกับเห็ดราเลย คือเมื่อแพร่พันธุ์เข้ามาได้แล้ว ลงหลักปักฐานในพื้นที่ที่ชุ่มชื้นแล้ว ก็แผ่ขยายพื้นที่งอกงามขึ้นมากมายเลยทีเดียว ผมมองว่ายุคสมัยของ Web Portal ในเมืองไทยกำลังจะค่อย ๆ ตายไปอย่างช้า ๆ แล้วแทนที่ด้วย
ผมเคยผ่านโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับใหญ่มาหลายโครงการครับ ทุกโครงการจะเหมือน ๆ กันนั่นก็คือ นายทุนจะกำหนดงบประมาณไว้ใหญ่โตสำหรับสร้างโครงการขึ้นมา เพื่อจะทุ่มเทกำลังคนสำหรับออกแบบและจัดสร้างซอฟต์แวร์ในอย่างที่ระดับนโยบายต้องการ แต่นายทุนมักไม่ตั้งงบประมาณสำหรับการดูแลซอฟต์แวร์เหล่านั้น ภายหลังจากที่ซอฟต์แวร์เหล่านั้นเริ่มเดินเครื่องใช้งานแล้ว!!! ต้องอย่าลืมว่ายังมีต้นทุนในการเปลี่ยนแปลง, แก้ความผิดพลาด และ สร้างข้อมูลเพิ่มเติมให้ทันสมัย รออยู่ในอนาคต ซึ่งต้นทุนเหล่านี้ต้องใช้งบประมาณเพื่อจัดหาคนมาดูแลเอาใจใส่ เพราะคนคือกุญแจสำคัญในการดูแลซอฟต์แวร์ระดับใหญ่โตเหล่านั้น ดังนั้นในหลาย ๆ ครั้งเราจึงมักจะพบกับเรื่องตลกร้าย นั่นก็คือเมื่อซอฟต์แวร์ระดับใหญ่ถูกสร้างด้วยคนเกือบร้อยคนสำเร็จแล้ว เรากลับพบว่า่ภายหลังมันดันถูกส่งมอบให้คนไม่ถึงสิบคนดูแลซะนี่!!! จึงเกิดคำถามง่าย ๆ ขึ้นมาว่า แล้วคนไม่ถึงสิบคนจะดูแลซอฟต์แวร์ระดับใหญ่ ซึ่งถูกสร้างด้วยคนเกือบร้อยคนได้ยังไง???