เดี๋ยวนี้ผมมีความรู้สึกว่าการพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังมุ่งไปยัง 2 แนวทางที่ตรงกันข้ามกันครับ นั่นก็คือ … ทางหนึ่งมุ่งไปยังเส้นทางของการประมวลผลข้อมูลเพื่อแสดงผล 3 มิติเต็มรูปแบบ เน้นใช้ทรัพยากรของเครื่องอย่างหนัก เพื่อจะปรนเปรอผู้ใช้ให้ถึงอกถึงใจ ในขณะที่อีกทางหนึ่งกลับมุ่งศึกษายังกลไกเล็ก ๆ แต่ทรงพลัง เพื่อใช้สำหรับประมวลผลในอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ขนาดเล็กจำพวก PDA ซึ่งมีทรัพยากรในการประมวลผลและแสดงผลที่จำกัด!!! เพราะกระแสมันเป็นอย่างนี้นั่นเอง จึงทำให้เราเกิดความสับสนว่าตกลงจะเอายังไงกันแน่ เพราะด้านหนึ่งก็โหยหาความเป็น 3 มิติ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็โหยหาความรวดเร็วฉับไว ผมกำลังมองถึง Software as
Category: Business Model
โม้เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจที่อิงแอบกับระบบคอมพิวเตอร์
ผมว่าผมไม่ได้ตาฝาดนะครับ เพราะผมจับสังเกตได้ว่าตอนนี้ บล็อกเกอร์หลาย ๆ คนสนใจใน “อัตลักษณ์” ของตัวเองมากขึ้น พิสูจน์ได้จากการปลีกตัวออกจากชุมชนบล็อก เพื่อมาสร้างบล็อกซึ่งเป็นโดเมนของตนเอง โดยไม่ได้สนใจว่าบล็อกของตนจะสูญเสียความสัมพันธ์กับชุมชนบล็อกไป บล็อกซึ่งมีโดเมนและพื้นที่เป็นของตนเองนั้น มันมีข้อดีตรงที่ปรับแต่งได้อย่างใจปรารถนา แต่บล็อกก็เหมือนกับเว็บไซต์โดยทั่วไป คือมันมีค่าใช้จ่ายในตัวของมัน ซึ่งถ้าเจ้าของบล็อกไม่ออกค่าใช้จ่ายเอง ก็ต้องทำให้ตัวบล็อกสามารถหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของบล็อกนั่นแหล่ะ ที่ต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายเอง!!! ผมจะสมมติว่าผมมีบริษัทอยู่บริษัทนึงก็แล้วกันนะ โดยบริษัทของผมทำธุรกิจเป็นตัวแทนขายโฆษณาออนไลน์ ลักษณะของธุรกิจก็ง่าย ๆ คือรับโฆษณามา จากนั้นก็ปล่อยป้ายโฆษณาให้ไปแสดงผลที่บล็อกของสมาชิกทุกคน ซึ่งนโยบายในการจ่ายผลตอบแทนก็ง่าย
ปรกติแล้วผมจะไม่รับ feed ครับ ผมชอบเข้าไปที่เว็บตรง ๆ มากกว่า สาเหตุคงเป็นเพราะรู้สึกว่า คนทำเว็บอุตส่าห์จัดเว็บไว้อย่างสวยงาม ถ้าไม่เข้าไปเสพความสวยงามเหล่านั้นแล้วมันก็กระไรอยู่ แต่ช่วงหลังผมเริ่มมีข่าวสารต้องรับเยอะขึ้นครับ เพราะผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าไอ้ที่อยากจะอ่านอ่ะ มันมีหลายที่ซะเหลือเกิน เปิดไปเปิดมาบางทีมึนเหมือนกัน ก็เลยต้องรับ feed กับเขาจนได้ อือม แล้วถ้ามีคนคิดแบบผมเยอะ ๆ แล้วพวกเว็บไซต์จะทำไงล่ะ ในเมื่อพวกเขาล้วนติดป้ายโฆษณาเอาไว้ที่เว็บ แล้วถ้าหากว่าไม่มีใครเข้าไปที่เว็บ แถมทุกคนยังดูดจาก feed ไปอ่านอีกต่างหาก
ผมนั่งดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่เกือบทุกวัน ดูแล้วก็เห็นได้ชัดว่าฝรั่งคงจะขนเงินกลับบ้านแน่ ๆ งานนี้หุ้นไทยคงจะซึมไปอีกนาน บางคนก็น่าเห็นใจเพราะตอนนี้คงติดดอยอยู่ บ้างก็ short against port ไปหลายทีแล้ว ก็ยังไม่ถึงราคาที่ต่ำสุดซะที ทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับกันไปทั่วทั้งสากลโลกแล้วว่า อำนาจทุนมันได้ครอบครองโลกเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เราไม่เคยมานั่่งชี้ชัดกันเท่านั้นเอง ว่ากลุ่มทุนใดบ้างที่ครอบครองโลกอยู่กันแน่? ตอนนี้อำนาจทุนเหนือโลกมีอยู่ด้วยกัน 4 กลุ่มครับ ประกอบไปด้วย 1. กลุ่มทุนการเงิน ซึ่งก็คือพวกที่ทำธุรกิจปล่อยกู้ระดับหมื่นล้านแสนล้านดอลลาร์ ปล่อยกู้กันทีนึงนี่แทบนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าเอามาแลกเป็นแบงค์พันแล้วเนี่ย มันจะเอามากองสูงท่วมหัวแค่ไหน
ดูเหมือนระบบเงินตราเสริมจะยังพัฒนาได้ไม่ดีนัก ผมคิดว่าคงต้องอีกหลายสิบปีกว่าจะพัฒนาได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็เลยยังคงขวนขวายหาเงินตราประจำชาติมาใช้สอยอยู่เหมือนเดิม หลายวันก่อนอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทผลิตชาเขียว ซึ่งปัจจุบันรับจ้างเป็นผู้บริหารเพียงอย่างเดียว ได้มาบรรยายให้องค์กรที่ผมทำงานฟัง ในหัวข้อเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในวิกฤตเศรษฐกิจ ผมฟังแล้วชอบอยู่ประโยคนึง … …ผมซื้อที่ดินแถวเพลินจิตมาราคาพันล้าน แล้วก็เอาโฉนดโยนเก็บใส่ลิ้นชักไว้เลย 2 ปี พอผ่านไป 2 ปี ผมก็เอาไปขายได้มาสี่พันล้าน กำไรตั้งสามพันล้านแน่ะ… ชอบจังเลยประโยคนี้ 😛 สิ่งที่เขาเล่าให้พวกเราฟัง มันฟังดูคล้ายกับการลงทุนก็จริง แต่จริง ๆ แล้วมันก็มีส่วนของการเก็งกำไรอยู่เหมือนกัน!
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในหมู่คนทำเว็บไซต์และผู้ประกอบการเว็บไซต์แล้วว่า การรับโฆษณาคือหนทางหลักที่จะได้รายได้มาเป็นกอบเป็นกำที่สุด รองลงไปก็เป็นการคิดค่าธรรมเนียมสำหรับการบริการต่าง ๆ และสุดท้ายจึงเป็นการขายไอเท็มต่าง ๆ ของเว็บไซต์ดังกล่าว สรุปหลัก ๆ แล้วการหารายได้บนเว็บไซต์ก็มี 3 อย่างที่ฝากผีฝากไข้ได้ ที่เหลือไม่ต้องไปกล่าวถึง เพราะลูกผีลูกคน!!! ก่อนจะโม้อะไรมากกว่านี้ ขอนำเสนอรายละเอียดการรับโฆษณาของเว็บไซต์ 10 อันดับแรกของเมืองไทยก่อน เมื่อดูแล้วจะได้ข้อสังเกตุดังต่อไปนี้ เว็บ Dek-d โคตรเจ๋งเลย เพราะมีการให้ค้นหาตำแหน่งโฆษณาจากงบประมาณในกระเป๋าตังค์เราได้ด้วย เว็บ Manager
เกมส์คอมพิวเตอร์ถือว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งครับ มันเป็นความบันเทิงที่มีมูลค่ามหาศาลมาก เนื่องจากว่ามนุษย์เรานั้นนิยมเสพความบันเทิง อือม จะว่าไงดีล่ะ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะหากมนุษย์ว่างเมื่อไหร่ ก็ย่อมคิดจะหาความสุขสำราญใส่ตัว ซึ่งการเสพความบันเทิงก็ถือว่าเป็นการหาความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยชิ้นไหนชี้ชัดลงไปว่า การได้เสพเกมส์คอมพิวเตอร์จะทำให้หยักสมองเพิ่มขึ้น หรือทำให้สารสร้างความสุขหลั่งออกมามากขึ้นกว่าปรกติหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่ทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ล้วนนิยมชมชอบที่จะเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์กันทั้งนั้น แต่ก็เหมือนกับสินค้าและบริการทุกชนิดในโลก ที่ผู้ผลิตมักจะมีจำนวนเพียงหยิบมือเดียว ในขณะที่ผู้บริโภคเองกลับมีจำนวนมหาศาล ดังนั้น เกมส์คอมพิวเตอร์เองก็หนีไม่พ้นวังวนแห่งความจริงนี้ ความจริงที่ว่ามีเพียงผู้ผลิตไม่กี่ร้อยรายเท่านั้น ที่มีศักยภาพพอที่จะทำเกมส์คอมพิวเตอร์ออกมาสู่สายตาผู้บริโภคได้ ผมเองมาเรียนคอมพิวเตอร์ก็ด้วยเหตุเพราะชอบเกมส์คอมพิวเตอร์
เราต้องมาทราบความหมายก่อนว่า “จารกรรม” นั้นมันหมายความว่ายังไง? และที่สำคัญเราต้องแยกมันออกจากคำว่า “โจรกรรม” ด้วย เพราะถึงวัตถุประสงค์ในการลงมือจะเหมือนกัน แต่นิยามอันสลับซับซ้อนซึ่งเป็นแก่นแท้ของมันนั้นมันไม่เหมือนกัน การ “โจรกรรม” ทั้งหมดล้วนมุ่งหวังต่อการ “ขโมย” ทรัพย์สินเป็นสำคัญ และหวังผลเป็นเลิศว่าทรัพย์สินที่ “ขโมย” มาได้ จะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด เพื่อนำไปใช้สอยตามความต้องการของตนเองได้ และส่วนใหญ่แล้วเราก็มักจะเรียกบุคคลากรที่ทำการ “โจรกรรม” ว่า “หัวขโมย”, “ขโมย” หรือ “โจร”
เมื่อวานผมได้มีโอกาสดูรายการโทรทัศน์รายการนึงครับ เป็นรายการช่องไหนก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่ารายการดังกล่าวชื่อว่า “Beyond Tommorrow” รายการนำเสนอหลายเรื่องครับ แต่มีอยู่เรื่องนึงที่ดูแล้วน่าสนใจมาก คือการที่มีชายหนุ่มคนนึงทำตัวเป็นนายหน้าในการรับผลิต “วัสดุโลหะแปรรูป” ผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต โดยสิ่งที่เขาทำก็คือเขาสร้างซอฟต์แวร์ประเภท Computer Aided Design ขึ้นมาตัวนึง แล้วให้ลูกค้าดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ดังกล่าวไป จากนั้นลูกค้าก็จะใช้ซอฟต์แวร์ดังกล่าว ออกแบบ “วัสดุโลหะแปรรูป” ในรูปแบบเฉพาะอย่างที่ตนเองต้องการ ผมมองว่ามันเป็นไปตามคำทำนายแห่งคลื่นลูกที่สามดีนะ คือการผลิตแบบมวลชนจะค่อย ๆ ลดลง แล้วเปลี่ยนเป็นการผลิตแบบเฉพาะเจาะจง
ตอนนี้ภาพมันเริ่มจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าข้อมูลส่วนบุคคลและความสัมพันธ์ของข้อมูลส่วนบุคคลกำลังจะเป็นที่สนใจมากขึ้นจากกลุ่มทุนต่าง ๆ ทั้งไทยและเทศ โดยดูจากแนวโน้มใหญ่ ๆ 2 แนวโน้มอันได้แก่ การพยายามออกบริการต่าง ๆ ของเว็บไซต์ดัง ๆ เพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล และความสัมพันธ์ของข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งบรรดาผู้ใช้บริการก็ต่างชื่นชอบ เนื่องจากบริการเหล่านั้นมัน “ดี” และ “ฟรี” การที่ภาครัฐกำลังค่อย ๆ ผ่อนคลายกฎระเบียบในการจัดการกับข้อมูลของประชาชนมากขึ้น โดยการให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนในการให้บริการข้อมูลของประชาชนเหล่านั้น