ปรกติแล้วคนที่สอนหนังสือในระดับมหาวิทยาลัย มักจะมีตำแหน่งทางวิชาการกัน เช่น อาจารย์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์, รองศาสตราจารย์ และ ศาสตราจารย์ เป็นต้น ตำแหน่งพวกนี้มักมีเงื่อนไขว่าต้องสอนหนังสือกี่ชั่วโมงบ้างล่ะ ต้องเขียนบทความบ้างล่ะ ต้องแต่งตำราบ้างล่ะ หรือ ต้องทำวิจัยโน่นนี่นั่น เพื่อให้ได้ตำแหน่งทางวิชาการเหล่านี้มา ทีนี้ มหาวิทยาลัยหลาย ๆ แห่งก็เริ่มออกนอกระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ เปลี่ยนจากมหาวิทยาลัยของรัฐ มาเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สามารถหาเงินใช้เองได้ ไม่ต้องแบมือขอเงินหลวงมาเลี้ยงตัวเองอีก
Author: ไท้ ปริญญา
ผมกำลังจะทำชิ้นงานหนึ่งชิ้น เพื่อดึงเอาข้อมูลออกจาก SAP R/3 ออกมาใช้ครับ โดยชิ้นงานที่ว่าจะออกเป็นแนว Web Application ซึ่งผมก็คิดว่าผมจะสร้างมันด้วย PHP โดยจะใช้ SAPRFC ซึ่งเป็น PHP Extension สำหรับแทงทะลุเข้าไปใน SAP R/3 ครับ จริง ๆ แล้วผมจะเขียนภาษา ABAP เพื่อให้มันทำงานบน SAP
ข้อมูลในองค์กรที่ ๆ ผมทำงานอยู่ กำลังมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จะเอาออกก็ไม่ได้ เพราะผู้ใช้งานก็ยังใช้สืบค้นอยู่ จะว่าเปลืองพื้นที่ก็ไม่ใช่ เพราะเดี๋ยวนี้อัดฮาร์ดดิสก์กันทีเป็นหลักเทราไบต์ แถมเครื่องนึงใส่ฮาร์ดดิสก์หลายลูก ทำเป็นคลัสเตอริ่งโน่นนี่นั่นอีกต่างหาก ปัญหามันอยู่ที่การสืบค้นข้อมูล มันใช้เวลานานขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งตอนที่กำลังอ่านพร้อมกับกำลังเขียน ยิ่งใช้เวลานานเข้าไปใหญ่ นี่ยังไม่นับว่ามีคนแย่งกันใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันเป็นร้อย ๆ เครื่องด้วยนะเอ้อ ทางเลือกมีไม่มาก ผมเลยเริ่มหันมามอง NoSQL อย่างจริงจัง ซึ่งถึงมันเพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ได้ไม่กี่ปี แต่ผมก็คิดว่าในอนาคตผมต้องได้ใช้มันแน่
ผมกำลังจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ที่นั่นยังไม่ได้ติดตั้งอินเทอร์เน็ตเลย นึก ๆ ดูแล้วผมก็ผ่านช่วงของการใช้บริการอินเทอร์เน็ตมาแล้วหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น การใช้บริการแบบ Dial up โดยการหมุนโมเด็มเข้าไปที่ผู้ให้บริการผ่านโทรศัพท์ที่บ้าน หมุนแล้วก็เชื่อมได้บ้างไม่ได้บ้าง จะต่อได้แต่ล่ะทีลุ้นระทึกสุด ๆ สำหรับผู้ให้บริการก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานั้น ๆ เช่นถ้าตอนที่เรียนอยู่ก็อาศัยหมุนเข้าไปที่สถานศึกษา พอจบมาทำงานก็อาศัยซื้อบริการเป็นแบบรายชั่วโมงจากบริษัทเอกชน ส่วนความเร็วในการเข้าอินเทอร์เน็ตก็อยู่ที่ 14kbps ถึง 56kbps แบบว่าได้ขนาดนี้ก็วาสนาสุด ๆ แล้ว จากนั้นก็ถึงยุค
องค์กรส่วนใหญ่มักจะลดคนทำงานครับ ไม่ได้หมายถึงว่าจงใจจะลดนะ แต่หมายถึงว่ามันมีคนทำงานลาออกไป แต่ไม่ได้มีคนทำงานคนใหม่ ๆ เติมเข้ามา มันเลยทำให้เกิดช่องว่าง คืองานมีมากกว่าคน ดังนั้น ผู้ร่วมงานของผมซึ่งเคยรับบทบาทเป็น “นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์” ก็ต้องกลายร่างเป็น “นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์” ในขณะที่ผู้ร่วมงานบางคนก็ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “นักบริหารจัดการระบบงานคอมพิวเตอร์” มาเป็น “นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์” ผมเองเป็นคนจำพวกหลัง มันเลยทำให้ผมต้องกลับมาวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์มันทำงานตามความต้องการของผู้ใช้งาน!!! เดี๋ยวนี้ผู้ใช้งานเอาแต่ใจตัวเองน้อยลงครับ เริ่มจะไม่สนใจแล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด ขอแค่มันออกมาได้เป็นพอแล้ว มันก็เลยทำให้นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เริ่มมีทางเลือกมากขึ้น ว่าจะแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบใด
ช่วงนี้ผมกำลังยุ่ง ๆ อยู่กับการเรียนรู้กระบวนการผลิตในแบบโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเรียนรู้เครื่องจักรทุ่นแรงต่าง ๆ ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ เพราะผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าผมกำลังอิ่มตัวในงานไอที อีกอย่างผมก็ได้ลองทำกิจการไอทีเล็ก ๆ หลายอย่างแล้วแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากผมมักจะทำคนเดียว ไม่ได้ทำเป็นหมู่คณะ แถมอุปนิสัยผมก็ไม่ชอบทำงานให้ใคร มันก็เลยไม่สอดคล้องกับกิจการไอทีในบ้านเรา ที่ต้องเอาดีจากการรับจ้างทำของให้คนอื่น หรือรับจ้างให้บริการทางด้านไอทีให้กับใคร ๆ คนไทยเราน่ะเข้าใจผิด คิดว่าจะก้าวกระโดดจากกิจการอุตสาหกรรม แล้วมาทำกิจการไอทีเลย ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้ว ก็ยังมีบริษัทเพียงไม่กี่รายหรือเพียงหยิบมือ
โรงงานฉลาดก็คือโรงงานที่ไม่โง่ และการที่มันไม่โง่ก็เป็นเพราะมันมีส่วนประกอบหลักอันได้แก่ เครื่องจักรฉลาด, บุคลากรฉลาด และ กระบวนการฉลาด เครื่องจักรฉลาด คือ เครื่องจักรที่ให้พลังงานกล ซึ่งได้รับพลังงานจากพลังงานไฟฟ้า โดยไม่สนใจว่าไฟฟ้าที่นำมาป้อนเครื่องจักร ถูกผลิตมาจากแหล่งกำเนิดใด ส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ป้อนเข้าสู่เครื่องจักร ก็ถูกควบคุมการจ่ายด้วยสัญญาณไฟฟ้า แล้วสัญญาณไฟฟ้าก็จะถูกควบคุมโดยวงจรอิเลกทรอนิกส์อีกต่อหนึ่ง สุดท้ายวงจรอิเลกทรอนิกส์ก็ถูกควบคุมโดยไมโครคอนโทรลเลอร์อีกทอดหนึ่งเป็นอันจบครบรอบพอดี บุคลากรฉลาด คือ ผู้บริหาร, พนักงานปกขาว และ พนักงานปกฟ้า ที่มีทักษะในหน้าที่ของตน มีความถนัดในการใช้งานเครื่องจักรฉลาด มีวินัยและปฏิบัติตามกระบวนการฉลาดที่ถูกกำหนดขึ้น
การผลิตแบบลีนคือ การผลิตเพื่อส่งถึงมือผู้บริโภคอุปโภค โดยลดการ “สูญเสีย” ในตลอดเส้นทางของการผลิตจนถึงการขนส่ง ซึ่งสิ่งที่ “สูญเสีย” อาจจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้ เป็นรูปธรรมหรือไม่ก็เป็นนามธรรม แนวคิดของการผลิตแบบลีน ก็เพื่อทำให้เกิดการ “ประหยัด” และ “รักษา” สิ่งแวดล้อม ซึ่งผมคงไม่มานั่งอธิบายว่ามันต้องทำยังไงบ้าง มีวิธีการทำยังไง เพราะมีคนเยอะแยะที่เขาอธิบายเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่สิ่งที่ผมจะเล่าก็คือ “การผลิตแบบลีนสำหรับไอที” ต่างหาก หลังจากที่ใคร ๆ เห็นว่าการผลิตแบบลีนมันดี ก็เลยมีความคิดว่าจะเอามาประยุกต์ใช้กับสาขาวิชาอื่น
ทุน, เทคโนโลยี และ แรงงาน เป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับกิจการ งั้นลองมาแจกแจงดูดีกว่าว่ากิจการของสังคมแต่ล่ะยุค ให้น้ำหนักกับปัจจัยการผลิตใดบ้าง? เดี๋ยวนี้ทุนกับเทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งชี้วัดการผลิตแล้ว เพราะใคร ๆ ก็สามารถหาทุนได้ ไม่ว่าจะโดยการเช่า, ยืม, จิ๊ก หรือซื้อแค่บางอย่างก็ตาม ส่วนเทคโนโลยีเองก็เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะมีคนแต่งหนังสือสอนกันเยอะแยะ หรือไม่บางคนก็สอนกันฟรี ๆ บนอินเทอร์เน็ตก็ยังมี ปัจจัยชี้วัดในการผลิต และสร้างต้นทุนที่สูงกลับเป็น “แรงงาน” ซะมากกว่า
ความหมายของคำว่า Infographics มันไปเกี่ยวพันกับคำว่า Animation และ Presentation เพราะมันมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงต้องอธิบายสองคำนี้ก่อน Animation คือ การทำภาพเคลื่อนไหวสองมิติหรือสามมิติ นิยมใช้เพื่อทำเป็นละครหรือภาพยนต์ที่มีเรื่องราว เน้นความบันเทิงเป็นหลัก Presentation คือ ทักษะของคนในการนำเสนอข้อมูล ความรู้ โดยส่วนมากมักจะใช้ภาพนิ่งประกอบกับภาพเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับประกอบหรือสนับสนุนการนำเสนอ ส่วนคำว่า Infographics หมายถึง