ตลาดถือเป็นสถานที่สำคัญมากสำหรับมนุษย์ เพราะเป็นสถานที่ชุมนุมเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ และที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ภายหลังจากการเกิดตลาด ระบบเงินตราซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในยุคปัจจุบันจึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายสินค้าและบริการในตลาด! ดังนั้น ตลาดจึงเป็นแหล่งดึงดูดให้ผู้คนและเม็ดเงินหลั่งไหลมารวมกัน และเป็นสถานที่ ๆ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน!!! ถ้าเราจะแบ่งแยกประเภทของตลาด เราคงจะแบ่งได้เป็นหลาย ๆ แบบมาก แต่ที่ผมกำลังจะโม้ในหัวข้อนี้ก็คือ การแบ่งแยกตลาดอิงจากทุนนิยมไร้พรมแดน … นั่นคือ เราจะแบ่งตลาดได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ตลาดซื้อขายธรรมดา กับ
Category: Electronic Money
โม้เกี่ยวกับเงินตราหลักและเงินตราเสริม ซึ่งถูกแปลงรูปแบบให้กลายเป็นเงินดิจิทัล
สมัยก่อนเราเก็บเงินไว้ในบ้าน ดังนั้นถ้าโจรปล้นบ้านเรา มันก็จะแย่งชิงเอาเงินของเราไปได้ … แย่หน่อยที่ไม่มีใครมาช่วยปกป้องเงินทองของเราเอาไว้ สำหรับสมัยนี้ เราคงเลือกที่จะฝากเงินทองเอาไว้ที่สถาบันการเงินแทน ถึงแม้จะมีกฎหมายไม่คุ้มครองเงินฝากออกมาเราก็ไม่สน เพราะฝากเงินทองเอาไว้กับสถาบันการเงินมันปลอดภัยกว่า สถาบันการเงินเองก็เอาเงินของลูกค้ามาวางกองสุมรวมกัน แล้วบันทึกลงคอมพิวเตอร์ว่าลูกค้าแต่ล่ะรายฝากเงินเอาไว้เป็นจำนวนเท่าไหร่ และที่สำคัญต้องบันทึกเป็นรายการรับจ่าย ไม่ใช่ใช้วิธีบวกลบเลขจากยอดเดิม เพราะถ้าบวกลบจากยอดเดิมมันตรวจรายการย้อนกลับไม่ได้ ว่าเงินมันมีที่มาที่ไปยังไง? พอโม้มาถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่า โจรมันต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปปล้นเงินที่สถาบันการเงินแทน ซึ่งถ้ามันปล้นแบบดิบ ๆ โดยการสวมหมวกไหมพรม ถือปืนสงคราม ยกพวกกันเข้าไปค้นเงินจากเคาเตอร์ก็ว่าไปอย่าง … แต่ถ้ามันเป็นโจรที่รู้จักวิธีเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของสถาบันการเงินแบบนิ่ม ๆ
ตอนแรกผมคิดว่า “การปฏิวัติสารสนเทศ” หรือ “ประชากรผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้น” จะเป็นตัวทำให้สังคมโลกเราเกิดความสั่นคลอน แต่กลับกลายเป็นว่า “ความผันผวนทางการเงิน” และ “ความแปรปรวนทางภูมิอากาศ” กลับเป็นตัวเร่งให้เกิดความสั่นคลอนแทน การเกิดวิกฤตมีความหมายกว้างขวางถึงความไม่แน่นอน ความไม่สงบสุข ความโกลาหล ซึ่งหากวิกฤตยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ย่อมจะทำให้ภาพอนาคตที่ “ธุรกิจครองโลก” จะค่อย ๆ เลือนหายไป แล้วเปลี่ยนเป็น “สังคมที่หวาดระแวง” เข้ามาแทนที่! สังคมที่หวาดระแวงเป็นสังคมที่ภายในชุมชน มีการรวมกลุ่มของปัจเจกบุคคลที่มีอัตลักษณ์เหมือนกัน
ในโลกนี้มีธุรกิจอยู่ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ครับ หากนับตามบรรทัดฐานทางศีลธรรมอันเคร่งครัด ซึ่งได้แก่ ธุรกิจสีขาว – ธุรกิจที่ประกอบธุรกรรมอย่างถูกกฎหมาย จ่ายภาษีบ้างไม่จ่ายบ้าง ไม่สร้างผลกระทบกับความมั่นคงของชาติ ธุรกิจสีเทา – ธุรกิจซึ่งก็ยังถือว่าถูกกฎหมายอยู่ เพียงแต่กฎหมายจะอนุญาตเป็นราย ๆ ไป และต้องถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวด ยกตัวอย่างเช่น ผับ, ไนทคลับ, บาร์, ดิสโก้เทค, โต๊ะสนุ้กเกอร์,
ดูเหมือนระบบเงินตราเสริมจะยังพัฒนาได้ไม่ดีนัก ผมคิดว่าคงต้องอีกหลายสิบปีกว่าจะพัฒนาได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็เลยยังคงขวนขวายหาเงินตราประจำชาติมาใช้สอยอยู่เหมือนเดิม หลายวันก่อนอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทผลิตชาเขียว ซึ่งปัจจุบันรับจ้างเป็นผู้บริหารเพียงอย่างเดียว ได้มาบรรยายให้องค์กรที่ผมทำงานฟัง ในหัวข้อเกี่ยวกับการเอาตัวรอดในวิกฤตเศรษฐกิจ ผมฟังแล้วชอบอยู่ประโยคนึง … …ผมซื้อที่ดินแถวเพลินจิตมาราคาพันล้าน แล้วก็เอาโฉนดโยนเก็บใส่ลิ้นชักไว้เลย 2 ปี พอผ่านไป 2 ปี ผมก็เอาไปขายได้มาสี่พันล้าน กำไรตั้งสามพันล้านแน่ะ… ชอบจังเลยประโยคนี้ 😛 สิ่งที่เขาเล่าให้พวกเราฟัง มันฟังดูคล้ายกับการลงทุนก็จริง แต่จริง ๆ แล้วมันก็มีส่วนของการเก็งกำไรอยู่เหมือนกัน!
มนุษย์เรามีลักษณะพิเศษอย่างนึงที่พิเศษมาก นั่นก็คือเราชอบคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ออกมา แล้วสุดท้ายไอ้เจ้านวัตกรรมเหล่านั้นก็ควบคุมเราเอาไว้ จนแม้กระทั่งเราไม่สามารถจะเอาชนะหรือท้าทายอะไรกับมันได้ มนุษย์เราประดิษฐ์ปืนขึ้นมา แต่เรากลับสู้ปืนไม่ได้ถ้ามีคนใช้ปืนนั้นกับเรา มนุษย์เราประดิษฐ์เครื่องคิดเลขขึ้นมา แต่เรากลับคิดเลขได้ไม่เร็วกว่ามัน มนุษย์เราประดิษฐ์รถยนต์ขึ้นมา แต่เรากลับวิ่งเร็วสู้รถยนต์ไม่ได้ มนุษย์เราประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ขึ้นมา แต่เรากลับประมวลผลสู้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ และ มนุษย์เราประดิษฐ์ระบบเงินตราขึ้นมา แต่เรากลับถูกมันสยบศิโรราบเอาไว้ ไม่กล้าหือกับมัน!!! เมืองไทยเราก็มีลักษณะเหมือนประเทศทุนนิยมทั่วไป นั่นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลางหรือชนชั้นล่างก็ล้วนร้อนเงินเหมือนกัน แปลกมั้ย? คงไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเขาเหล่านั้นมีค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ ถึงแม้จะพยายามที่จะไม่จับจ่ายมากกว่ารายได้ที่ตัวเองมีก็ตาม
มนุษย์เราทุกวันนี้คุยกันง่ายกว่าเมื่อสมัยก่อนมากเลยนะครับ ตั้งแต่มีการยอมรับเงินตรากันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมเดินไปสนามหลวงแล้วคอแห้งขึ้นมา ผมตรงรี่เข้าไปที่รถเข็นขายน้ำตาลสด หลิ่วตาให้แม่ค้านิดนึงแล้วบอกว่าผมจะกินน้ำตาลสด แม่ค้าก็เปิดขวดน้ำตาลสดให้ผมแล้วบรรจงยื่นให้ผมอย่างช้า ๆ พร้อมทั้งรับเงินซึ่งเป็นธนบัตรจากผมมูลค่าที่ตราไว้ยี่สิบบาท คิดดูสิครับว่ากระดาษผิวมัน ๆ สีเขียว ๆ ใบนึงซึ่งกินก็ไม่ได้ ดื่มแก้กระหายก็ไม่ได้ กลับสามารถแลกน้ำตาลสดแสนหวานแสนอร่อย ดื่มแล้วสดชื่นได้ตั้งขวดนึงแน่ะ!!! แต่ช้าก่อนครับมันยังไม่ง่ายถึงขนาดนั้น ผมเล่าข้ามช็อตไปหน่อยนึง ผมต้องเล่าต่อว่า หลังจากแม่ค้าได้รับธนบัตรมูลค่าใบล่ะยี่สิบบาทของผมไปแล้ว สิ่งที่เธอจะทำอย่างอัตโนมัติก็คือ เปิดจอรับภาพที่ดวงตาของเธอ เพื่อตรวจคุณลักษณะของธนบัตรใบดังกล่าว พร้อมทั้งส่งภาพเข้าสู่สมองของเธอ
จริง ๆ แล้วผมไม่ชอบทุนนิยมซักเท่าไหร่ครับ ทุนนิยมกระตุ้นให้เกิดความโลภ อือม แต่ก็ต้องขอชมผู้ที่คิดค้นทุนนิยมขึ้นมาเหมือนกันนะ เพราะถ้าไม่มีระบบทุนนิยมเกิดขึ้นแล้วล่ะก็ มนุษย์เราก็คงไม่ดิ้นรนขวนขวายสร้างสินค้าและบริการขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้หรอก กุญแจสำคัญของระบบทุนนิยมก็คือ “เงินตรา” … “เงินตรา” เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ในระบบทุนนิยม เพราะถ้าทุนนิยมเติบโตขึ้น โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการกันเอง โดยไม่มี “เงินตรา” เป็นสื่อกลาง … มันคงดูไม่จืดเลย ว่าแล้วผมก็เล่านิทานแต่งเองให้อ่านซักเรื่องดีกว่า … … เริ่ม สมัยก่อน
ผมเห็นช่วงนี้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ครับ อีกทั้งเราก็พบว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากเลย ซึ่งคนที่ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับวงการตลาดทุนหรือวงการตลาดเงินอาจไม่ทราบว่า การที่ราคาของหุ้นหรือเงินตราต่างประเทศมันเคลื่อนไหวขึ้น ๆ ลง ๆ นั้น ไม่ใช่เป็นเพราะมีสถาบันหรือองค์กรไหน ๆ ไปกำหนดมัน แต่เป็นเพราะความต้องการในการซื้อขายของมนุษย์อย่างพวกเราต่างหากที่เป็นผู้กำหนดมัน ถ้าเทียบกันแล้วตลาดทุนยิ่งใหญ่น้อยกว่าตลาดเงินครับ ตลาดเงินยิ่งใหญ่กว่ามาก ซึ่งการที่มันยิ่งใหญ่กว่ามากนี่แหล่ะที่เป็นประเด็น!!! ประเด็นก็คือเราไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตลาดเงิน เราไม่ใช่ผู้จัดการกองทุนที่ถือเงินเป็นหมื่นล้านดอลล่าร์ เราจึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าหากเราซื้อหรือขายเงินเป็นปริมาณมหาศาลในช่วงเพียงแค่ไม่ถึงนาที แล้วปรากฎการณ์ราคาของเงินตราต่างประเทศมันจะพลิกผันเช่นไร กติกาของมนุษย์เหมือน ๆ กันครับนั่นก็คือ ต้องทดลองบ่อย ๆ ครับถึงจะรู้แจ้งได้,
ถ้าใครอ่านบล็อกนี้บ่อย ๆ จะพบว่า ผมมักจะเอาเรื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ ไปผูกโยงเข้ากับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อยู่เสมอ แต่กลับผูกโยงเข้ากับเรื่องทางวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยมากนัก ส่วนนึงก็คงเป็นเพราะว่า คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์นั้น โดยธรรมชาติของมันแล้วเหมาะสมสำหรับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นอย่างยิ่ง แต่แรกคอมพิวเตอร์สร้างขึ้นเพื่อคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สร้างขึ้นเพื่อการคำนวณวนซ้ำ แต่ภายหลังตั้งแต่มีหน่วยความจำสำรองอย่างฮาร์ดดิสก์ขึ้นมา อีกทั้งมีการคิดค้นทฤษฎีทางด้านฐานข้อมูลขึ้นมาอีก มันเลยยิ่งทำให้คอมพิวเตอร์เหมาะสมที่จะใช้เพื่อเก็บบันทึกเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ