เดี๋ยวนี้สายคอมพิวเตอร์มาจากหลายทางมาก สิ่งที่เรียนก็มีเนื้อหาซ้อนทับกัน สิ่งที่ค้นคว้าวิจัยก็มีหัวข้อซ้อนทับกัน มันเริ่มพัลวันมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับแผนภาพเวนออยเลอร์ ที่เปรียบสายคอมพิวเตอร์แต่ล่ะสายเป็นวงกลม แล้ววงกลมมันก็มาซ้อนทับกัน ตอนนี้แต่ล่ะสายคอมพิวเตอร์ จึงพยายามค้นหาตัวตนของตัวเอง และกำหนดขอบเขตของตัวเอง ด้วยวิธีการลู่เข้าสู่ศูนย์กลาง คือทำการค้นคว้าวิจัยตามบทบาทอันเป็นศูนย์กลางของตัวเอง ไม่พยายามไปค้นคว้าวิจัยในบริเวณขอบ ๆ ที่ซ้อนทับกับสายคอมพิวเตอร์สายอื่น มาลองยกตัวอย่างกันก็ได้ โดยใช้คติส่วนตัวของผมเองล้วน ๆ เช่น ถ้าเป็นการทำวิจัยทาง Neural Network แต่ล่ะสายคอมพิวเตอร์ ควรจะค้นคว้าวิจัยในบทบาทของตัวเองยังไงบ้าง
Category: Inspiration
จินตนาการในเรื่องทางคอมพิวเตอร์ ที่ไม่รู้จะจัดเข้าพวกไหนดี
อยู่ที่เราเลือกครับ ตามภาพเลยครับ หนทางมันมีเท่านี้แหล่ะ ยกเว้นว่าเราจะไปเป็นนักการเมืองหรือเป็นโจร อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง สุดแต่ใจจะไขว่คว้าครับอันนี้ แล้วแต่ว่าแต่ล่ะคนจะเดินทางไปทางไหน
อาจารย์ผมเล่ามา ผมเลยเล่าต่อ คืองี้ ท่านบอกว่าเดี๋ยวนี้เด็กมอปลายเก่ง เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กันกระจุย ให้เขียนโปรแกรมแก้ปัญหา ก็ทำได้ใน 10 นาที เลยอยากจะบอกว่า มันมีระดับของจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้ ระดับมอปลาย คือ ให้ทำ ทำได้ รู้วิธีทำ ทำบ่อย คล่อง เช่น ให้เขียนโปรแกรม quick sort ก็ทำได้ใน 10
การเคลื่อนย้ายมวลสาร ก็คือการที่มวลสารถูกส่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องสนใจในระยะเวลาและระยะทาง คือ เคลื่อนย้ายปุ๊ปก็ถึงปั๊ปอะไรประมาณนั้น (ตามรูปข้างล่าง) แรกเริ่มเดิมที การวิจัยการเคลื่อนย้ายมวลสาร ถูกกำหนดให้อยู่ในขอบเขตของอนุภาคและอะตอม โดยมีเจ้าภาพหลักเป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์อนุภาค และในขณะเดียวกัน ทางด้านนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เอง ก็มีการวิจัยเกี่ยวกับควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นเดียวกัน ควอนตัมคอมพิวเตอร์มันมาเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายมวลสาร ก็เพราะว่าพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ คือ คิวบิต หรือก็คือ บิต ทางคอมพิวเตอร์ ที่สามารถมีสภาวะพร้อมกัน 2 สภาวะได้ นั่นคือ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้วิทยาศาสตร์มีความศักดิ์สิทธิ์ก็คือ การที่มีระเบียบวิธีการในการตั้งสมมติฐาน ทดลอง หาผลลัพธ์ พิสูจน์ซ้ำ และ สามารถเผยแพร่ให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไปได้ การทดลองมีสองแบบใหญ่ ๆ คือ การทดลองเชิงความคิด คือ การตั้งจินตนาการก่อน แล้วค่อยหาทางพิสูจน์ด้วยโมเดลทางคณิตศาสตร์หรือสูตรทางคณิตศาสตร์ กับ การทดลองเชิงปฏิบัติ คือ การลงมือแล้วสังเกตผลการลงมือ คณิตศาสตร์ใช้การทดลองเชิงความคิด ฟิสิกส์ใช้การทดลองเชิงความคิด แล้วจึงใช้การทดลองเชิงปฏิบัติ เคมีใช้การทดลองเชิงปฏิบัติ ชีววิทยาใช้การทดลองเชิงปฏิบัติ ดาราศาสตร์ใช้การทดลองเชิงปฏิบัติ เพราะวิทยาการคอมพิวเตอร์
เดิมผมชอบเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะผมรู้สึกสนใจใคร่รู้ในการสั่งงานเครื่องจักรที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ โดยตอนแรกก็เรียนรู้การเขียนภาษาคอมพิวเตอร์แบบง่าย ๆ จนกระทั่งพัฒนาไปเรียนรู้การเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ชั้นสูง จากนั้นผมก็พบว่าการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มันเริ่มไม่ใช่ เพราะถึงแม้ผมจะเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ใด ๆ จนถ่องแท้แล้ว ผมก็มักพบความเปลี่ยนแปลง คือพบว่ามันมีคนที่ฉลาดกว่าผม เก่งกว่าผม มีความคิดสร้างสรรค์และความพยายามมากกว่าผม ได้คิดค้นและสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ใหม่ ๆ ขึ้นมา แล้วภาษาคอมพิวเตอร์พวกนั้นมันก็ทั้งดีและทันสมัย จนกระทั่งมีคนใช้อย่างกว้างขวาง และทำให้ผมต้องเพียรพยายามไปเรียนรู้มันให้แตกฉานอยู่ร่ำไป มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมคิดอะไรเองไม่เป็น ต้องคอยตามคนอื่นไปเรื่อย ๆ อยู่แบบนั้น!!! ผมเคยเบนเข็มไปให้ความสนใจกับ “ภาษาเครื่อง”
คนที่จะเรียนจบปริญญาโททางคอมพิวเตอร์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำผลงานอะไรซักอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีภูมิปัญญาเพียงพอที่จะได้รับปริญญาบัตรระดับมหาบัณฑิตได้ ไอ้เจ้าผลงานอะไรซักอย่างหนึ่งที่ว่า มันก็มีชื่อเรียกอยู่สองอย่าง นั่นคือ สารนิพนธ์ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Master Project และ วิทยานิพนธ์ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Thesis สาเหตุที่วิธีการทำผลงานมันมีอยู่สองแบบ ก็เป็นเพราะโครงสร้างหลักสูตรที่ถูกประกาศขึ้น มันมีความแตกต่างกันในเนื้อหา ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยรัฐก็แล้วกัน อย่างมหาวิทยาลัยของรัฐเนี่ย จะมีการทำหลักสูตรออกมาเป็น 3 แบบ นั่นคือ แบบ ก
ช่วงนี้ผมกำลังยุ่ง ๆ อยู่กับการเรียนรู้กระบวนการผลิตในแบบโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเรียนรู้เครื่องจักรทุ่นแรงต่าง ๆ ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ เพราะผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าผมกำลังอิ่มตัวในงานไอที อีกอย่างผมก็ได้ลองทำกิจการไอทีเล็ก ๆ หลายอย่างแล้วแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากผมมักจะทำคนเดียว ไม่ได้ทำเป็นหมู่คณะ แถมอุปนิสัยผมก็ไม่ชอบทำงานให้ใคร มันก็เลยไม่สอดคล้องกับกิจการไอทีในบ้านเรา ที่ต้องเอาดีจากการรับจ้างทำของให้คนอื่น หรือรับจ้างให้บริการทางด้านไอทีให้กับใคร ๆ คนไทยเราน่ะเข้าใจผิด คิดว่าจะก้าวกระโดดจากกิจการอุตสาหกรรม แล้วมาทำกิจการไอทีเลย ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้ว ก็ยังมีบริษัทเพียงไม่กี่รายหรือเพียงหยิบมือ
โรงงานฉลาดก็คือโรงงานที่ไม่โง่ และการที่มันไม่โง่ก็เป็นเพราะมันมีส่วนประกอบหลักอันได้แก่ เครื่องจักรฉลาด, บุคลากรฉลาด และ กระบวนการฉลาด เครื่องจักรฉลาด คือ เครื่องจักรที่ให้พลังงานกล ซึ่งได้รับพลังงานจากพลังงานไฟฟ้า โดยไม่สนใจว่าไฟฟ้าที่นำมาป้อนเครื่องจักร ถูกผลิตมาจากแหล่งกำเนิดใด ส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ป้อนเข้าสู่เครื่องจักร ก็ถูกควบคุมการจ่ายด้วยสัญญาณไฟฟ้า แล้วสัญญาณไฟฟ้าก็จะถูกควบคุมโดยวงจรอิเลกทรอนิกส์อีกต่อหนึ่ง สุดท้ายวงจรอิเลกทรอนิกส์ก็ถูกควบคุมโดยไมโครคอนโทรลเลอร์อีกทอดหนึ่งเป็นอันจบครบรอบพอดี บุคลากรฉลาด คือ ผู้บริหาร, พนักงานปกขาว และ พนักงานปกฟ้า ที่มีทักษะในหน้าที่ของตน มีความถนัดในการใช้งานเครื่องจักรฉลาด มีวินัยและปฏิบัติตามกระบวนการฉลาดที่ถูกกำหนดขึ้น
ความหมายของคำว่า Infographics มันไปเกี่ยวพันกับคำว่า Animation และ Presentation เพราะมันมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงต้องอธิบายสองคำนี้ก่อน Animation คือ การทำภาพเคลื่อนไหวสองมิติหรือสามมิติ นิยมใช้เพื่อทำเป็นละครหรือภาพยนต์ที่มีเรื่องราว เน้นความบันเทิงเป็นหลัก Presentation คือ ทักษะของคนในการนำเสนอข้อมูล ความรู้ โดยส่วนมากมักจะใช้ภาพนิ่งประกอบกับภาพเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับประกอบหรือสนับสนุนการนำเสนอ ส่วนคำว่า Infographics หมายถึง