ที่ผ่านมาผมเคยโม้เรื่อง การประยุกต์ “ควอนตัม” ในทางคอมพิวเตอร์, อธิบาย qubit ของควอนตัมคอมพิวเตอร์แบบง่าย ๆ และ ควอนตัมคอมพิวเตอร์แบบ 2 qubits มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังโม้ไม่จบ เพราะที่ผ่านมาผมโม้แค่ว่ามันมีตัวตนอยู่ในโลก โม้ว่ามันมีชิ้นส่วนพื้นฐานที่สำคัญในการทำงาน และโม้ว่ามันมีความเป็นพลวัต … แต่ไม่เคยโม้ว่าโดยองค์รวมของควอนตัมคอมพิวเตอร์นั้น ตรงไหนกันแน่ที่ทำให้มันทำงานรวดเร็ว? งั้นวันนี้มาโม้กันต่อดีกว่า!!! เนื่องจากยังไม่เคยมีใครคิดค้นสถาปัตยกรรมแบบองค์รวมของ “ควอนตัมคอมพิวเตอร์” มาก่อน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องใช้สถาปัตยกรรมแบบองค์รวมของ “ดิจิทัลคอมพิวเตอร์”
Category: Quantum Computer
โม้เกี่ยวกับเทคโนโลยี Quantum Computer
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เริ่มจะรู้แล้วว่า ถ้าหากยังคงอธิบาย qubit ด้วยโมเดลสามมิติอยู่เหมือนเดิมแล้วล่ะก็ เห็นทีจะงงเต๊กกันไปอีกหลายเพลา ว่าแล้วก็เลยเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอซะใหม่ ให้กลายเป็นแบบสองมิติแทน เพราะเห็นว่าระนาบแกน Z มันไม่ค่อยจะมีผลอะไรเท่าไหร่ในทางทฤษฎีนัก ถึงแม้ในความเป็นจริง qubit จะเป็นอนุภาคสามมิติก็ตามทีเต๊อะ! ภาพข้างบนคือรูปแบบของ qubit ซึ่งนำเสนอแบบสองมิติอย่างที่โม้เอาไว้ จะเห็นว่ามันเข้าใจง่ายขึ้นจมเลยอ่ะ!!
บางครั้งการอธิบายเทคโนโลยีชั้นสูงด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน มันก็ไม่เหมาะกับชาวบ้านอย่างพวกเราเท่าไหร่ จริงแมะ? ไอ้ของพรรณนั้นมันเหมาะกับพวกนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงภูมิปัญญาทั้งหลายมากกว่า!!! แต่ถึงแม้เราจะเป็นชาวบ้าน เราเองก็อยากจะเข้าอกเข้าใจเรื่องยาก ๆ เหมือนกัน (ถึงแม้มันจะเข้าใจยากก็เถอะ) ก็เหมือนกับการอธิบายคุณสมบัติของ qubit ซึ่งเป็นหน่วยเก็บสารสนเทศพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์นั่นแหล่ะ ต่อให้อธิบายด้วยทฤษฎีและสมการทางคณิตศาสตร์เป็นหน้ากระดาษ คนมันจะไม่เข้าใจ มันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี งั้น มาลองอ่านวิธีการอธิบายของผมดูบ้างดีกว่า … ผมจะขอแทนป้ายวงกลมเล็ก ๆ เป็น qubit ก็แล้วกันนะครับ โดยด้านหน้าของป้ายเป็นเลข 0
ช่วงนี้ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจกับ Qubit ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ในการจัดเก็บสารสนเทศของระบบคอมพิวเตอร์แบบควอนตัมอยู่ครับ อ่านแล้วก็งง งงแล้วก็พยายามอ่าน จนน่าจะเข้าใจอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ได้ในระดับนึง ดูเหมือนว่าทฤษฎีทางคอมพิวเตอร์ชั้นสูงในช่วงหลัง เริ่มให้การยอมรับกับ “ความไม่แน่นอน” มากขึ้นครับ ซึ่งประเด็นมันคงจะอยู่ที่ การแก้โจทย์ปัญหาในปัจจุบันนั้น มันใช้เพียง “ความแน่นอน” อย่างเดียวในการแก้โจทย์ไม่ได้ ทำให้จำเป็นที่จะต้องประยุกต์ให้คอมพิวเตอร์ ยอมรับผลลัพท์ที่ให้ค่า “ความคล้าย”, “ความสัมพัทธ์” และ
ผมเกิดและเติบโตมาในยุครอยต่อระหว่างอนาล็อกและดิจิตอลครับ จึงได้มีโอกาสทันได้พบเห็นอุปกรณ์ในยุคอนาล็อกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์แบบหมุน ๆ แทนที่จะเป็นแบบกดปุ่ม วิทยุที่ต้องหมุน ๆ เพื่อหาคลื่นความถี่ ถ้าจะฟังเพลงก็ต้องหาเทปเพลงมาใส่ โทรทัศน์ที่ต้องโยกเสาอากาศไปมา แล้วก็หมุน ๆ เพื่อหาช่องทีวี เครื่องเล่นวีดีโอที่ใช้ได้กับม้วนเทปตลับโต ๆ โทรเลขนี่นับเป็นอนาล็อกหรือเปล่า อือม ไม่แน่ใจ เพราะมันตีเป็นขีด ๆ จุด ๆ เลยไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า
ในปัจจุบัน computer มีความเร็วสูงขึ้นเรื่อย ๆ ครับ อีกทั้งกำลังจะเปลี่ยนจาก computer 32 bits กลายเป็น computer 64 bits เราจะสังเกตเห็นว่า hardware จะก้าวหน้าไปก่อน ล้ำหน้าไปก่อน จากนั้น operating system และ application จะพัฒนาตามมาทีหลังเป็นลำดับ ธุรกิจก็คือธุรกิจครับ เพราะในขณะที่ทิศทางของอุตสาหกรรม