องค์กรส่วนใหญ่มักจะลดคนทำงานครับ ไม่ได้หมายถึงว่าจงใจจะลดนะ แต่หมายถึงว่ามันมีคนทำงานลาออกไป แต่ไม่ได้มีคนทำงานคนใหม่ ๆ เติมเข้ามา มันเลยทำให้เกิดช่องว่าง คืองานมีมากกว่าคน ดังนั้น ผู้ร่วมงานของผมซึ่งเคยรับบทบาทเป็น “นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์” ก็ต้องกลายร่างเป็น “นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์” ในขณะที่ผู้ร่วมงานบางคนก็ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “นักบริหารจัดการระบบงานคอมพิวเตอร์” มาเป็น “นักวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์”

ผมเองเป็นคนจำพวกหลัง มันเลยทำให้ผมต้องกลับมาวิเคราะห์ระบบงานคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์มันทำงานตามความต้องการของผู้ใช้งาน!!!

เดี๋ยวนี้ผู้ใช้งานเอาแต่ใจตัวเองน้อยลงครับ เริ่มจะไม่สนใจแล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด ขอแค่มันออกมาได้เป็นพอแล้ว มันก็เลยทำให้นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เริ่มมีทางเลือกมากขึ้น ว่าจะแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็น Window Form, Web Form, SAP Form หรือ Oracle Form และใช้กลไกใดในการทำให้มันสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น Window Application หรือ Web Application เป็นต้น

ทีนี้ถ้าแหล่งกำเนิดข้อมูลสำหรับนำเข้าระบบฯ มันมาจากหลายแหล่งล่ะ? เราควรจะพิจารณาว่าเราควรจะสร้างกลไกแบบไหนดี เพื่อให้ทุ่นแรงมากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ต้องพิจารณาออกเป็นสามเรื่องใหญ่ ๆ คือ เรื่องแรกพิจารณาถึงสัดส่วนของแหล่งกำเนิดข้อมูล, สองคือการพิจารณาถึงความยากง่ายของกลไก และสามคือการพิจารณาถึงคนที่จะมาสร้างมันขึ้นมา

อย่างเรื่องแรกที่ใช้วิธีพิจารณาถึงสัดส่วนของแหล่งกำเนิดข้อมูล เราก็ต้องมาดูว่าระบบฯที่เราจะสร้างขึ้นมา มันนำเข้าข้อมูลมาจากไหนบ้าง เช่น จาก SAP 50%, จาก Oracle Database 20%, จาก SQL Server 20% และจาก Microsoft Excel อีก 10% งั้นก็ตัดสินใจดิบ ๆ ได้เลยว่า เราควรจะทำโปรแกรมเป็นแบบ SAP Form ทำงานในแบบ Window Application บนสภาพแวดล้อมของ SAP โดยเขียนภาษา ABAP ขึ้นมา แล้วก็เรีียก Function Module มาตรฐานโน่นนี่นั่นที่ SAP จัดเตรียมมาให้ เพื่อสร้างเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมา สำหรับต่อเชื่อมกับฐานข้อมูลของ SAP เอง และต่อเชื่อมกับ Oracle Database, SQL Server Database และมีกลไกในการ Import ไฟล์ Microsoft Excel อะไรเงี้ย

ส่วนเรื่องสองคือการพิจารณาถึงความยากง่ายของกลไก เราต้องพิจารณาว่าการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบไหนยากกว่ากัน เช่น เขียน ABAP เพื่อทำเป็น SAP Form ยากมั้ย? หรือเขียนด้วย Visual Studio .NET เพื่อทำเป็น Window Form จะยากกว่า หรือเขียนด้วย PHP แล้วใช้ CakePHP เพื่อทำเป็น Web Form แล้วให้มันทำงานแบบ Web Application จะลำบากหน่อยแต่ดูสวยงาม หรือแม้กระทั่งจะเขียนด้วย Developer 2000 เพื่อทำเป็น Oracle Form ซะเลย ซึ่งถ้าสุดท้ายเราพิจารณาแล้วว่าทำเป็น SAP Form มันจะง่ายกว่า เพราะมันมีกลไกเจ๋ง ๆ อย่าง ALV Report เอย มี Selection Screen เอยเอาไว้ให้เราใช้ เราก็ควรจะเลือกมันเป็นลำดับต้น ๆ ก่อน

สำหรับเรื่องที่สามซึ่งเป็นเรื่องสุดท้ายที่เราจะพิจารณา นั่นก็คือคนของเราน่ะถนัดใช้เครื่องมืออะไรในการทำ และมีความพร้อมจะทำหรือเปล่า เช่น เรามี ABAPER ที่เป็นคนของบริษัทภายนอกที่เราจ้างเอาไว้ด้วย man day ตายตัว เราควรจะให้เขาทำมั้ย? หรือ เราควรจะให้คนในองค์กรทำกันเองด้วย Visual Studio .NET เพราะคนของเราก็ทำ Window Application แบบ Win Form เก่งเหมือนกัน? หรือ เราควรจะใช้คนของทีม Web เพื่อให้มาทำ Web Form ดี แต่เอ๊ะ เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจะยอมทำให้หรือเปล่า?

ถ้าเราพิจารณาทั้งสามเงื่อนไขแล้ว เราเห็นว่ามันเข้าเงื่อนไขสองในสาม ก็เลือกแบบนั้น ๆ ไปก็แล้วกัน ซึ่งตามตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า การเลือกทำบน SAP จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะมีการนำเข้าข้อมูลจาก SAP 50% ซึ่งถือเป็นข้อมูลสัดส่วนใหญ่, ใช้ ABAP เพื่อทำ SAP Form ง่ายกว่า เพราะมีเครื่องมือที่เอื้ออำนวยในการเข้าถึงข้อมูล และ ใช้ ABAPER ของบริษัทที่จ้างเอาไว้ เพราะเป็นมืออาชีพกว่า เป็นต้น

สุดท้ายแล้วมันก็แล้วแต่ระบบคอมพิวเตอร์ของแต่ล่ะที่นั่นแหล่ะ ว่าเมื่อพิจารณาจากสามเงื่อนไขนี้แล้ว มันจะไปตกจุดสมดุลตรงไหน ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะต้องทำ Window Form ครึ่งนึง Web Form ครึ่งนึง สำหรับระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งระบบก็ได้ ใครจะไปรู้!!

Related Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *